สิ่งที่ควรรู้ก่อนสร้างสระว่ายน้ำ ชิลได้ทุกวันสไตล์พูลวิลล่า

หากจะนึกถึงของบ้านหรู ก็ต้องนึกถึงสระว่ายน้ำ ยิ่งในยุคนี้ที่คนนิยมสร้างบ้านสไตล์พูลวิลล่า สระว่ายน้ำยิ่งกลายเป็นความฝันของหลาย ๆ ครอบครัว แต่การจะสร้างสระว่ายน้ำในบ้านนั้นเป็นสิ่งที่ต้องคิดและวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ รวมไปถึงการดูแลรักษาที่ต้องใช้ความเอาใจใส่อย่างมาก ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจสร้างสระว่ายน้ำ ควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ให้รอบด้าน ดังต่อไปนี้

 

  1. วัตถุประสงค์การใช้งาน

ก่อนอื่น เจ้าของบ้านควรกำหนดวัตถุประสงค์การใช้งานของสระว่ายน้ำว่าต้องการใช้เพื่ออะไร เช่น ว่ายน้ำออกกำลังกาย แช่น้ำพักผ่อน ให้เด็ก ๆ เล่น หรือจัดปาร์ตี้ เพราะเป้าหมายจะเป็นการกำหนดขนาด รูปแบบ และวัสดุของสระว่ายน้ำที่เหมาะสม

 

  1. ขนาดและรูปแบบของสระว่ายน้ำ

ขนาดและรูปแบบของสระว่ายน้ำ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานและพื้นที่ใช้สอยที่มีอยู่ โดยทั่วไปแล้ว สระว่ายน้ำสำหรับว่ายน้ำออกกำลังกายควรมีความยาวอย่างน้อย 20 เมตร เพื่อให้สามารถว่ายน้ำทำระยะทางได้สะดวก ส่วนสระว่ายน้ำสำหรับเล่นน้ำพักผ่อนหรือจัดปาร์ตี้ ควรมีความยาวอย่างน้อย 10 เมตร โดยรูปแบบของสระว่ายน้ำมีให้เลือกหลากหลาย เช่น สระว่ายน้ำสี่เหลี่ยม สระว่ายน้ำทรงกลม สระว่ายน้ำรูปฟรีฟอร์ม จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่ความชอบและพื้นที่

 

  1. ตำแหน่งที่ตั้งของสระว่ายน้ำ

ตำแหน่งที่ตั้งของสระว่ายน้ำ ควรอยู่ในพื้นที่ที่มีแดดส่องถึงเพียงพอเพื่อให้น้ำในสระสะอาดอยู่เสมอ และควรอยู่ห่างจากบ้านหรืออาคารอื่น ๆ ในระยะที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้รบกวนผู้อยู่อาศัย รวมถึงควรมีพื้นที่ว่างรอบสระอย่างน้อย 1 เมตร สำหรับสระว่ายน้ำขนาดเล็ก และ 2 เมตร สำหรับสระว่ายน้ำขนาดใหญ่

 

  1. วัสดุที่ใช้ก่อสร้างสระว่ายน้ำ

วัสดุที่ใช้ก่อสร้างสระว่ายน้ำ มีหลายประเภท เช่น คอนกรีต ไฟเบอร์กลาส โพลีเอสเตอร์ แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • คอนกรีต มีจุดเด่นที่ความแข็งแรงทนาน แต่มีค่าใช้จ่ายสูง ก่อสร้างนาน
  • ไฟเบอร์กลาส จะมีความยืดหยุ่น ติดตั้งง่าย ราคาไม่แพง แต่แข็งแรงน้อยกว่าคอนกรีต
  • โพลีเอสเตอร์ แข็งแรง ต้นทุนถูกที่สุด แต่มีน้ำหนักมากกว่าไฟเบอร์กลาส

 

  1. ระบบฆ่าเชื้อโรคในน้ำ

ระบบฆ่าเชื้อโรคในสระว่ายน้ำที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ได้แก่

  • ระบบคลอรีน เป็นระบบฆ่าเชื้อโรคแบบดั้งเดิม ใช้คลอรีนเป็นสารเคมีในการฆ่าเชื้อโรค มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคสูง แต่อาจระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตาของบางคน
  • ระบบเกลือ ใช้เกลือในปริมาณเล็กน้อยในการฆ่าเชื้อโรค โดยเครื่องผลิตคลอรีนจากเกลือจะเปลี่ยนเกลือให้เป็นคลอรีน ซึ่งทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคและยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำ ปลอดภัยต่อสุขภาพ ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนังและดวงตา แต่มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบเกลือค่อนข้างสูง
  • ระบบโอโซน ใช้โอโซนในการฆ่าเชื้อโรคและยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำ มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคสูง และปลอดภัยต่อสุขภาพ แต่มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบโอโซนค่อนข้างสูง
  • ระบบ UV ใช้รังสียูวีในการฆ่าเชื้อโรคและยับยั้งการเจริญเติบโตของตะไคร่น้ำ ปลอดภัยต่อสุขภาพ และไม่ต้องเติมสารเคมี แต่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคน้อยกว่าระบบคลอรีน

 

  1. งบประมาณ

การสร้างสระว่ายน้ำมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เจ้าของบ้านควรประมาณค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุมตั้งแต่ค่าก่อสร้าง ค่าวัสดุ ค่าอุปกรณ์ ค่าบำรุงรักษา รวมถึงค่าน้ำค่าไฟที่ต้องใช้ไปกับสระ โดยค่าใช้จ่ายในการสร้างสระว่ายน้ำขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ ขนาด รูปแบบของสระ ตำแหน่งที่ตั้งของสระ และค่าแรงในพื้นที่นั้น โดยทั่วไปแล้ว ค่าใช้จ่ายในการสร้างสระว่ายน้ำคอนกรีตจะอยู่ที่ประมาณ 20,000-25,000 บาทต่อตารางเมตร และจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่น ๆ ได้แก่ ค่าขออนุญาตก่อสร้าง ค่าระบบกรองน้ำ ระบบบำบัด ระบบไฟ ระบบน้ำพุ ค่าทำความสะอาด ค่าเติมสารเคมี ค่าซ่อมแซม เป็นต้น

 

  1. การดูแลรักษา

สระว่ายน้ำต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้น้ำสะอาดและปลอดภัยต่อการใช้งาน เจ้าของบ้านควรศึกษาวิธีการดูแลรักษาสระว่ายน้ำอย่างถูกต้อง ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ รักษาระดับความเข้มข้นของสารฆ่าเชื้อในน้ำให้เหมาะสม ตรวจเช็กระบบกรองเป็นประจำ เพื่อยืดอายุการใช้งานของสระว่ายน้ำ ซึ่งสามารถว่าจ้างผู้ให้บริการดูแลสระว่ายน้ำเข้ามาช่วยในจุดนี้ได้

 

  1. ความปลอดภัย

สำหรับบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยง ก่อนสร้างสระว่ายน้ำความคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เช่น มีรั้วล้อมรอบที่ล็อกได้ เพื่อป้องกันเด็กหรือสัตว์เลี้ยงตกลงไป หรือให้ความลึกสระอยู่ในระดับที่ผู้ใหญ่ยืนแล้วหัวพ้นน้ำ ระบบกรองและระบบไฟต่าง ๆ ต้องเลือกที่มีมาตรฐานเท่านั้น หลีกเลี่ยงการใช้ปลั๊กไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้ารอบสระ รวมถึงพื้นรอบสระต้องไม่ลื่น เพื่อให้ได้สระว่ายน้ำที่ตอบโจทย์ความต้องการและปลอดภัยต่อการใช้งานมากที่สุด

 

หากพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนี้ แล้วพบว่าการสร้างสระว่ายน้ำตอบโจทย์ความต้องการและงบประมาณของคุณ ก็ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะสระว่ายน้ำสามารถมอบทั้งประโยชน์ด้านสุขภาพและความสุขให้กับครอบครัวได้

 

 

“Como Primo” เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Luxury จาก Areeya Property ตั้งอยู่บนถนนบางนาตราด กม.10 ใกล้กับแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำและช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ เช่น เมกาบางนา อิเกียบางนา และเซ็นทรัลบางนา ออกแบบภายใต้แนวคิด “Urban Botanical” เน้นการผสานความเป็นเมืองและความร่มรื่นของธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน และยังสามารถเลือกเพิ่มสระว่ายน้ำส่วนตัวในบริเวณบ้านได้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบพูลวิลล่าอย่างแท้จริง ดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่นี่

เลือกทาวน์โฮมอย่างไร ให้อยู่สบาย ตอบโจทย์เรื่องพื้นที่ใช้สอย

ทาวน์โฮมเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ ที่กำลังมองหาบ้านหลังแรก เพราะได้พื้นที่มากกว่าคอนโด และอยู่ในงบประมาณที่เอื้อมถึงง่ายกว่าบ้านเดี่ยว ซึ่งการเลือกทาวน์โฮมให้อยู่สบายนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของทาวน์โฮม ความกว้างของหน้าบ้าน จำนวนห้องนอนและห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยภายนอกบ้าน และฟังก์ชันอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถทำได้โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

 

  • ขนาดของครอบครัว

พิจารณาจำนวนสมาชิกในครอบครัวและความต้องการใช้สอยพื้นที่ในบ้าน เช่น หากมีครอบครัวขนาดใหญ่ ต้องการพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง อาจมีห้องนอนหลายห้อง ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ห้องทานอาหารที่สามารถวางโต๊ะขนาดใหญ่ได้ เป็นต้น

  • ทำเลที่ตั้ง

พิจารณาทำเลที่ตั้งของทาวน์โฮมให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และความต้องการ เช่น หากต้องการความสะดวกในการเดินทาง อาจเลือกทาวน์โฮมที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าหรือทางด่วน หรือหากเป็นครอบครัวที่มีเด็ก ๆ ต้องคำนึงถึงความสะดวกในการเดินทางไปโรงเรียนและสถานที่สำคัญ เช่น ห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะ โรงพยาบาล เป็นต้น

  • รูปแบบของทาวน์โฮม

ควรเลือกทาวน์โฮมที่มีหน้ากว้างมากกว่า 5 เมตรขึ้นไป จะช่วยให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านมากขึ้น และมองเห็นวิวภายนอกได้กว้างขึ้น ส่วนแปลงมุมก็จะได้มุมมองสวนที่เปิดกว้าง หรือบางหลังอาจได้ที่ดินผืนใหญ่กว่าหลังอื่นด้วย

  • จำนวนห้องนอน

พิจารณาจำนวนห้องนอนให้เพียงพอกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว โดยปกติแล้วทาวน์โฮมขนาดมาตรฐานจะมีห้องนอน 2-4 ห้องขึ้นไป ควรมี Master Bedroom (ห้องนอนหลัก) อย่างน้อย 1 ห้อง ที่มีห้องน้ำในตัว บางโครงการอาจมี Walk-in Closet ในห้องนอนหลักด้วย และควรห้องนอนเล็กอีก 1-3 ห้อง สำหรับสมาชิกคนอื่นในบ้าน หรือจะเอามาปรับเป็นห้องทำงานก็ได้

  • ขนาดของห้องนอน

พิจารณาขนาดของห้องนอนให้เหมาะสมกับการใช้งานและสมาชิกในครอบครัว เช่น หากมีเด็กทารก อาจต้องการห้องนอน Master Bedroom ที่กว้างขวางขึ้นสำหรับให้เด็กนอนร่วมกับพ่อแม่ หรือมีห้องนอนเด็กที่อยู่ชั้นเดียวกับห้องนอนหลัก หรือถ้าเป็นครอบครัวที่มีเด็กโต ควรพิจารณาห้องนอนที่ใหญ่พอสำหรับให้วัยรุ่นมีพื้นที่ส่วนตัว

  • จำนวนห้องน้ำ

พิจารณาจำนวนห้องน้ำให้เพียงพอกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว โดยปกติแล้วทาวน์โฮมจะมีห้องน้ำอย่างน้อย 2 ห้อง เพื่อความสะดวกสบาย แนะนำให้มีจำนวนห้องน้ำไม่น้อยไปกว่าจำนวนห้องนอน

  • พื้นที่ใช้สอยส่วนกลางของบ้าน

พิจารณาพื้นที่ใช้สอยในห้องอื่น ๆ ของบ้าน เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร เป็นต้น ให้มีความกว้างเพียงพอกับการใช้งาน หรือถ้าบ้านไหนต้องรับแขกบ่อยอาจต้องพิจารณารวมจำนวนแขกเข้าไปด้วย และถ้าหากต้องการให้บ้านดูโปร่งสบายในพื้นที่ที่จำกัด ควรใช้ตัวช่วยเป็นหน้าต่างบานใหญ่ กระจกเงา หรือเพดานสูง ๆ จะช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้นได้

  • พื้นที่เก็บของ

สิ่งที่หลาย ๆ คนลืมนึกถึงตอนเลือกซื้อบ้าน คือพื้นที่สำหรับเก็บของ บ้านที่กว้างขวางอาจกลายเป็นแคบได้ถ้าไม่มีการจัดสรรพื้นที่เก็บของให้ลงตัว ซึ่งเราสามารถสร้างที่เก็บของให้คุ้มค่าได้ง่าย ๆ โดยใช้พื้นที่ที่ปกติไม่ได้ถูกใช้สอย เช่น ทำห้องเก็บของในบันได หรือสร้างตู้ Built-in สูงจรดเพดาน

  • พื้นที่จอดรถ

ทาวน์โฮมทั่วไปจะสามารถจอดรถในรั้วบ้านได้ 1 คัน แบบหน้ากว้างอาจจอดได้ถึง 2 คัน ถ้าเลือกได้แนะนำให้เลือกแบบจอดได้ 2 คัน เพราะถือเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต และแม้จะมีรถไม่ถึง 2 คันก็สามารถใช้พื้นที่กว้าง ๆ หน้าบ้านทำกิจกรรมอื่นได้มากมาย

  • การตกแต่ง

เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดกะทัดรัด พอดีกับจำนวนคนในบ้าน หลีกเลี่ยงของตกแต่งชิ้นใหญ่ที่ไม่จำเป็น รวมถึงแต่งบ้านด้วยโทนสีอ่อน เช่น สีขาว ครีม เบจ ฟ้าอ่อน ปูพื้นด้วยไม้หรือกระเบื้องโทนสีสว่าง จะช่วยให้บ้านดูไม่อึดอัด

  • สิ่งอำนวยความสะดวกของส่วนกลาง

หมู่บ้านทาวน์โฮมหลายโครงการจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกของส่วนกลางที่ช่วยลดการใช้พื้นที่ส่วนตัวในบ้านได้ เช่น ห้องฟิตเนส ห้องประชุม สนามเด็กเล่น เป็นต้น

 

เพียงเท่านี้ เราก็สามารถเลือกทาวน์โฮมที่เหมาะสมกับความต้องการได้ และช่วยให้อยู่อาศัยได้อย่างสบายและตอบโจทย์เรื่องพื้นที่ใช้สอยอย่างแน่นอน

 

“Nora” โครงการทาวน์โฮมรูปแบบใหม่จาก Areeya Property ออกแบบในสไตล์ Minimal Cozy สุดชิค ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ 2 ทำเล ได้แก่ บางนา และกาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ โดดเด่นด้วยหน้ากว้างถึง 5.3 เมตร พร้อมช่องแสงธรรมชาติขนาดใหญ่ทั้งบริเวณห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องนอน ช่วยให้บ้านดูสว่างและโปร่งโล่ง สบายตา และดีไซน์ฟังก์ชันที่คราฟท์ทุกรายละเอียด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวรุ่นใหม่ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงเรียน ดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่นี่

“Urban Botanica” เทรนด์จัดสวนแบบใหม่ สดชื่นสไตล์ป่าฝนเขตร้อน

Urban Botanica คือการผสมผสานระหว่างสวนสไตล์ธรรมชาติและบรรยากาศแบบเมืองเข้าด้วยกัน เน้นความสดชื่นและร่มรื่น โดยใช้ต้นไม้และไม้ประดับนานาชนิด เพื่อสร้าง Mood & Tone เหมือนป่าฝนเขตร้อน

 

การจัดสวนแบบ Urban Botanica มักใช้พืชพรรณหลากหลายชนิด ทั้งในท้องถิ่นและต่างประเทศ เพื่อสร้างบรรยากาศที่หลากหลาย พืชพรรณเหล่านี้มักได้รับการคัดเลือกให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมในเมือง เช่น มีคุณสมบัติทนต่อมลพิษ ทนต่อความร้อน และทนต่อสภาพแห้งแล้ง

 

นอกจากนี้ การจัดสวนแบบ Urban Botanica ยังให้ความสำคัญกับประโยชน์ใช้สอย ออกแบบมาเพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกาย หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนหรือครอบครัว

 

ตัวอย่างการจัดสวนแบบ Urban Botanica ในกรุงเทพมหานคร เช่น

  • สวนลุมพินี สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง ประกอบด้วยพืชพรรณนานาชนิดจากทั่วโลก ทั้งไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ประดับ และไม้ผล
  • สวนรถไฟ สวนสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประกอบด้วยสวนหย่อม สนามเด็กเล่น เส้นทางจักรยาน เส้นทางวิ่งออกกำลังกาย
  • สวนหลวง ร.9 สวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเขตประเวศ มีพืชพรรณนานาชนิดจากทั่วโลก

 

สำหรับการจัดสวนแบบ Urban Botanica ใบบริเวณบ้าน สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับพื้นที่และงบประมาณที่มีอยู่ โดยทั่วไปแล้วจะเน้นการใช้ต้นไม้และไม้ประดับที่มีใบสีเขียวสด ดอกสีสันสดใส และปลูกไม้เลื้อยให้เกาะผนังหรือเสา โดยการเลือกต้นไม้สำหรับสวนสไตล์ Urban Botanica ควรดูจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • สภาพอากาศ ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนชื้น ต้นไม้และไม้ประดับที่เลือกควรทนต่อสภาพอากาศร้อนและฝนได้ดี เช่น เฟิร์น มอนสเตอร่า ฟิโลเดนดรอน เป็นต้น
  • ขนาดพื้นที่ สามารถจัดสวนได้หลายขนาด ตั้งแต่สวนขนาดเล็กในบ้านไปจนถึงสวนขนาดใหญ่ในคอนโดมิเนียม ควรเลือกต้นไม้และไม้ประดับที่มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ที่มีอยู่
  • สไตล์การตกแต่ง เน้นความสดชื่นและร่มรื่น จึงควรเลือกต้นไม้และไม้ประดับที่มีใบสีเขียวสด ดอกสีสันสดใส และปลูกไม้เลื้อยให้เกาะผนังหรือเสาเพื่อเพิ่มความร่มรื่น

 

นอกจากนี้ อาจเสริมด้วยต้นไม้และไม้ประดับอื่นๆ ตามชอบ เช่น ไม้ดอก ไม้ประดับใบ ไม้ฟอกอากาศ หรืออาจตกแต่งสวนด้วยน้ำพุหรือบ่อน้ำขนาดเล็ก เพื่อเพิ่มความชื้นและบรรยากาศที่สดชื่น

 

การดูแลสวน Urban Botanica สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • การรดน้ำ ควรรดน้ำต้นไม้และไม้ประดับวันละครั้งในช่วงเช้าหรือเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อากาศแห้งแล้ง ปริมาณน้ำที่ใช้ควรขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของต้นไม้
  • การตัดแต่งกิ่ง ควรตัดแต่งกิ่งไม้และไม้ประดับในช่วงฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่งควรตัดแต่งกิ่งที่แห้งตาย กิ่งที่เป็นโรค กิ่งที่เป็นโรค กิ่งที่รกเกะกะ และกิ่งที่เสียทรง
  • กำจัดวัชพืชและศัตรูพืช ควรกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจใช้วิธีตัดแต่ง ถอนราก หรือใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช

 

เพียงเท่านี้ เราก็สามารถมีสวนชุ่มชื้นร่มรื่นสไตล์ป่าเขตร้อนในรั้วบ้านของเราเองได้แล้ว

 

 

“COMO BOTANICA” โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้นจาก Areeya Property ตกแต่งสไตล์ Urban Botanica บนทำเลถนนสายไหม กรุงเทพมหานคร เน้นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและใกล้ชิดธรรมชาติ

  • การออกแบบสไตล์ Urban Botanica ผสมผสานระหว่างสวนสไตล์ธรรมชาติและสวนแบบเมืองเข้าด้วยกัน เน้นความสดชื่นและร่มรื่น โดยใช้ต้นไม้และไม้ประดับนานาชนิด เพื่อสร้างบรรยากาศเหมือนสวนป่าฝนเขตร้อน
  • พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ถึง 23 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 70% ของโครงการ เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและใกล้ชิดธรรมชาติในทำเลใกล้เมือง
  • สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
  • ทำเลที่ตั้งสะดวก ใกล้กับห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงเรียน และอื่น ๆ อีกมากมาย เดินทางสะดวกทั้งรถยนต์ส่วนตัวและรถสาธารณะ

 

 

โครงการ COMO BOTANICA จึงเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ต้องการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง ดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่นี่

รู้จักกับ “Zero Waste Lifestyle” ชีวิตออกแบบได้ ลดขยะให้เป็นศูนย์

“Zero Waste Lifestyle” หรือ ชีวิตแบบลดขยะให้เป็นศูนย์ คือแนวคิดในการใช้ชีวิตที่พยายามลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด โดยมุ่งเน้นไปที่ 4 ภารกิจหลัก ได้แก่ การลดใช้ทรัพยากร (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการทำให้ขยะย่อยสลายได้ (Compost)

 

แนวคิดนี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาขยะล้นเมืองและมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ผู้คนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบของขยะต่อสิ่งแวดล้อม และหันมาปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อลดปริมาณขยะกันมากขึ้น

 

โดยแนวทางปฏิบัติของ Zero Waste Lifestyle จะประกอบด้วย

 

  1. ลดใช้ (Reduce) : พยายามหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของหรือบรรจุภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น เช่น ถุงพลาสติก แก้วพลาสติก ช้อนส้อมพลาสติก ภาชนะบรรจุอาหารแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เป็นต้น เพื่อลดการใช้ทรัพยากรให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะวัสดุที่ย่อยสลายได้ยากอย่างพวกพลาสติกหรือโฟม รวมถึงการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลก็ถือเป็นการ Reduce ทางหนึ่งเช่นกัน

 

  1. ใช้ซ้ำ (Reuse) : เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ซ้ำหลายครั้ง เช่น แก้วน้ำ กระติกน้ำ ถุงผ้า กล่องข้าว ช้อนส้อม ตะเกียบ เป็นต้น แทนการใช้ของที่ใช้แล้วทิ้ง ของใช้บางอย่างที่เสียแต่ยังพอจะซ่อมได้ ก็เลือกที่จะซ่อมแล้วใช้ต่อแทนการซื้อใหม่ รวมถึงการบริจาคเสื้อผ้า ของใช้ต่าง ๆ ที่ยังสามารถใช้งานได้ให้กับผู้อื่น

 

  1. นำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) : ก่อนทิ้งขยะ ควรแยกขยะประเภทต่าง ๆ ออกจากกัน โดยเฉพาะขยะที่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น กระดาษ พลาสติก โลหะ แก้ว เมื่อแยกขยะกลุ่มนี้เอาไว้ ก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจรีไซเคิลนำไปใช้ต่อได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

 

  1. ทำให้ย่อยสลายได้ (Compost) : เศษอาหาร ใบไม้ หญ้า เศษผักผลไม้ และพวกขยะอินทรีย์ต่าง ๆ เหล่านี้สามารถนำไปย่อยสลายเพื่อผลิตปุ๋ยหมักได้ ตัวเราเองใช้ประโยชน์ได้ทันที ไม่กลายเป็นของเหลือคืนสู่สิ่งแวดล้อม ดีกว่าทิ้งรวมกับขยะอื่นจนถูกเอาไปเผาหรือฝังกลบ 

 

Zero Waste Lifestyle จะได้ผลดีที่สุดต้องเริ่มตั้งแต่ในบ้าน เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่เราใช้เวลาอยู่ในแต่ละวันมากที่สุด ซึ่งเราสามารถเริ่มเองได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • เอาของเก่าในบ้านมาใช้ซ้ำ เช่นใช้ผ้าขนหนูเก่าเป็นผ้าเช็ดเท้า
  • ใช้ถังขยะที่ช่วยย่อยขยะอาหารหรือใบไม้ให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก
  • ตั้งถังขยะแยกสำหรับขยะรีไซเคิลได้โดยเฉพาะ
  • ใช้ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ ลดการใช้น้ำและสร้างน้ำเสีย
  • ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิล
  • เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีสัญลักษณ์ประหยัดไฟ
  • มีลิ้นชักเก็บถุงพลาสติกที่ได้มาจากการช้อปเพื่อให้หยิบใช้ซ้ำได้สะดวก
  • มีอุปกรณ์ซ่อมแซมเสื้อผ้าหรือเฟอร์นิเจอร์ติดบ้านไว้ เพื่อให้ซ่อมของใช้ได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าประเภท Fast Fashion หรือของใช้ที่ไม่ทนทาน
  • สนุกกับการ DIY แปลงโฉมเสื้อผ้าหรือของใช้เก่าให้เป็นของใหม่ที่เก๋กว่าเดิม
  • บริจาคสิ่งของที่ยังสามารถใช้งานได้ให้กับมูลนิธิหรือองค์กรการกุศล

 

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบ Zero Waste Lifestyle อาจต้องใช้เวลาและการเรียนรู้ แต่หากเราทุกคนร่วมมือกัน ก็สามารถช่วยลดปริมาณขยะและสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับโลกได้ เริ่มจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ในบ้านเราเอง

 

“COMO BIANCA” โครงการบ้านเดี่ยวจาก Areeya Property ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ Minimal Eco Living โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมฟังก์ชันใช้สอยที่ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น Food Waste Decomposer Machine ที่สามารถเปลี่ยนขยะเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย และโซนแยกขยะและถังรีไซเคิล ผสมผสานความมินิมอลและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์ Zero Waste Lifestyle ดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่นี่

บ้านสวย ช่วยโลก! เคล็ดลับปรับบ้านเราให้ดีต่อสิ่งแวดล้อม

บ้านของเราคือพื้นที่ที่เราใช้เวลาอยู่มากที่สุดในแต่ละวัน ดังนั้นการปรับบ้านให้ดีขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบต่อโลกได้ดีที่สุด ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อทำให้บ้านของเราเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

  1. ใช้แสงธรรมชาติให้มากที่สุด
    วิธีที่ง่ายที่สุดในการประหยัดพลังงาน คือการใช้พลังงานจากธรรมชาติให้มากขึ้น เช่นการออกแบบบ้านให้เน้นใช้แสงสว่างจากแดด ติดหน้าต่างบานใหญ่ เลือกใช้กระเบื้องหลังคาแบบใสในห้องครัวหรือห้องน้ำ หรือทำผนังด้านหนึ่งของห้องให้เป็นกระจกใสทั้งบาน เท่านี้ก็ลดการใช้ไฟฟ้าไปได้เยอะ นอกจากช่วยโลกแล้วยังประหยัดค่าไฟอีกด้วย
  2. หันมาใช้โซลาร์เซลล์
    สมัยนี้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟสนาม โคมไฟติดผนัง โคมไฟติดเพดาน และยังมีแผงโซลาร์เซลล์ในราคาที่เอื้อมถึงได้ เอาไว้สร้างพลังงานสะอาดสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นอื่น ๆ โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ควรหันไปทางทิศใต้เพื่อให้รับแดดได้มากที่สุด ยิ่งบ้านที่มีการใช้ไฟฟ้ามากก็จะยิ่งได้ประโยชน์จากการติดตั้งโซลาร์เซลล์มาก ที่สำคัญคือควรเลือกติดตั้งกับบริษัทที่เชี่ยวชาญและเชื่อถือได้ เพื่อให้ได้ระบบโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
  3. วางแผนลดความร้อนแต่เนิ่น ๆ
    ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณผนัง เพดาน และใต้หลังคา เพื่อช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน สำหรับกระจกใสควรเลือกใช้กระจกที่ป้องกันความร้อนได้ พร้อมติดตั้งระบบระบายอากาศที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดความร้อนภายในบ้าน รวมถึงหลังคาก็ควรเลือกใช้หลังคาที่มีสีอ่อนหรือวัสดุสะท้อนความร้อน ยิ่งบ้านเย็นได้มากเท่าไร ก็ยิ่งลดภาระเครื่องปรับอากาศได้มากเท่านั้น
  4. เซตระบบจัดการขยะรีไซเคิล
    เริ่มต้นจากการแยกขยะ โดยแยกขยะที่สามารถรีไซเคิลได้ออกจากขยะชนิดอื่น ๆ จะช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบได้ เป็นการลดการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยขยะที่รีไซเคิลได้ ได้แก่ กระดาษ พลาสติก โลหะ แก้ว เศษไม้ เมื่อแยกขยะรีไซเคิลแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือนำไปทิ้งให้ถูกที่ โดยสามารถนำไปทิ้งได้ที่จุดรับขยะรีไซเคิลของชุมชนหรือเทศบาล หรือจะนำไปขายให้กับร้านรับซื้อขยะรีไซเคิลก็ได้
  5. เซตระบบจัดการขยะอาหาร
    นอกจากขยะรีไซเคิล ขยะอาหาร (Food Waste) ก็เป็นอีกอย่างที่ควรใส่ใจ ขยะอาหารก็คืออาหารที่ถูกผลิตออกมาแต่ไม่ถูกรับประทาน ต้องถูกทิ้งเป็นขยะ โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ขยะอาหารคิดเป็น 1 ใน 3 ของขยะทั้งหมดที่ถูกกำจัดในแต่ละปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 20% ภายในปี 2030  ทำให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกชนิดหนึ่งที่มีศักยภาพในการดูดซับความร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 25 เท่า โดยการแยกขยะอาหารออกจากขยะทั่วไปจะช่วยให้นำขยะอาหารไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น นำไปทำปุ๋ยหมัก นำไปผลิตก๊าซชีวภาพ หรือนำไปรีไซเคิลเป็นอาหารสัตว์
  6. เลือกเครื่องใช้ที่ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ
    เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีสัญลักษณ์ประหยัดไฟ เช่น เลือกหลอดไฟ LED หรือหลอดไฟประหยัดพลังงานแทนหลอดไส้หรือหลอดฮาโลเจน ก๊อกน้ำที่มีหัวก๊อกแบบประหยัดน้ำ โถสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ ที่มีระบบชำระล้างแบบ Dual Flush หรือแบบ Single Flush และใช้เครื่องปรับอากาศแบบ Inverter 
  7. ใช้วัสดุแต่งบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
    การเลือกวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในบ้านของเรา เช่น วัสดุรีไซเคิล วัสดุจากธรรมชาติ หรือวัสดุที่มีฉลากระบุว่าดีต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้เราลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ในระยะยาว นอกจากนี้ยังสามารถชวนคนในครอบครัวมาครีเอท
  8. ปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้าน
    ต้นไม้ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และผลิตออกซิเจนให้กับโลกของเรา การปลูกต้นไม้ที่บ้านของเราจึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน และยังช่วยให้บ้านเย็น ประหยัดแอร์ แถมยังเพิ่มความสวยร่มรื่นได้ด้วย
  9. ลดการใช้พลาสติก
    พลาสติกเป็นวัสดุที่ย่อยสลายยากและก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเราควรลดการใช้พลาสติกในบ้าน เช่น พกถุงผ้าไปซื้อของ ปฏิเสธไม่รับหลอดเครื่องดื่ม หลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ใช้แก้ว จาน ชาม ช้อน แบบใช้ซ้ำได้เมื่อจัดปาร์ตี้ที่บ้าน

 

การปรับบ้านให้ดีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้ แค่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านของเราเอง ก็สามารถช่วยให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้นได้แล้ว

Areeya Property ร่วมสร้างไลฟ์สไตล์รักษ์สิ่งแวดล้อมภายในบ้านคุณ ด้วยการออกแบบที่กลมกลืนสิ่งแวดล้อม อัดแน่นด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งในบริเวณบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง การตกแต่งที่เน้นแสงสว่างจากธรรมชาติ พร้อมด้วยบริการ Food Waste Decomposer ที่ช่วยย่อยสลายขยะจากอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย เพื่อชีวิตที่สะดวกสบายและดีต่อโลกอย่างแท้จริง

อยากแต่งบ้านฟีลคาเฟ่ชิค ๆ ต้องมีอะไรบ้าง!

ชอบเที่ยวคาเฟ่มาก งั้นมาแต่งบ้านให้เป็นคาเฟ่เลยดีไหม! 

 

เพราะคาเฟ่เป็นที่ที่เรามักมีความทรงจำดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกาแฟหอม ๆ เบเกอรี่แสนอร่อย โต๊ะเก้าอี้นั่งสบาย ของตกแต่งน่ารัก ได้พบปะกับเพื่อนฝูง ถ่ายรูปเช็กอินได้หลายมุมไม่มีเบื่อ จนหลายคนติดใจ อยากยกบรรยากาศแบบคาเฟ่มาไว้ในบ้านตัวเองบ้าง วันนี้เราเลยจะมาแนะนำเทคนิคการแต่งบ้านสไตล์คาเฟ่ รับรองว่าทำตามได้ไม่ยากเลย

  1. เลือกโทนสี
    โทนสีของบ้านสไตล์คาเฟ่ มักเน้นไปที่โทนสีอ่อน ๆ สบายตา เช่น สีขาว สีครีม สีเบจ สีฟ้าอ่อน สีชมพูอ่อน เป็นต้น หรืออาจเลือกโทนสีพาสเทลเพื่อสร้างบรรยากาศที่สดใสน่ารักก็ได้ นอกจากนี้การเลือกสีควรคำนึงถึงพื้นที่ในแต่ละห้อง เช่น ห้องที่มีแดดจ้าหรือห้องขนาดเล็ก ใช้สียิ่งอ่อนยิ่งดี
  2. เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์
    เฟอร์นิเจอร์ของบ้านสไตล์คาเฟ่ มักเน้นไปที่เฟอร์นิเจอร์ไม้ ลายไม้ แซมด้วยวัสดุที่เป็นผ้าน่ารัก ๆ เพิ่มความอบอุ่น เน้นเฟอร์นิเจอร์สีขาวหรือโทนสว่าง และเลี่ยงเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นสีเงิน สีทอง หรือมีพื้นผิวแวววาว เพื่อคุมโทนให้อยู่ในสไตล์มินิมอล
  1. ตกแต่งด้วยสีเขียว
    ใช้ต้นไม้ประดับเล็ก ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้บ้านดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ควรเลือกต้นไม้ที่ดูแลง่าย เช่น ต้นกระบองเพชร ต้นมอนสเตอร่า ต้นยางอินเดีย เป็นต้น หรือถ้าบ้านไหนเน้นสะดวกสบายก็สามารถเลือกใช้ต้นไม้ปลอมแทนได้เช่นกัน
  1. ตกแต่งด้วยของกระจุกกระจิก
    จัดวางของประดับกระจุกกระจิกเพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับบ้าน เช่น ตุ๊กตา หมอนอิงสีหวาน หรือผ้าปูโต๊ะลายสก๊อตเก๋ ๆ แต่ไม่แนะนำให้ใส่ของตกแต่งเยอะเกินไป เพราะอาจทำให้บ้านดูรกได้ และควรเลือกของกระจุกกระจิกที่มีดีไซน์เรียบง่าย เข้ากับสไตล์มินิมอล
  1. เน้นแสงสว่าง
    ให้ความสำคัญกับแสงสว่าง พยายามเปิดรับแสงธรรมชาติให้มากที่สุด หรือจุดไหนที่แสงส่องไม่ถึงก็ต้องเปิดไฟให้สว่างพอ โดยจะอาจเลือกใช้หลอดไฟสี Day Light ในห้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องอาหาร และใช้แสง Warm White ในห้องนั่งเล่นและห้องนอน เพื่อเพิ่มบรรยากาศผ่อนคลาย

 

ไอเดียเพิ่มเติมในการแต่งบ้านฟีลคาเฟ่มินิมอล

นอกจากการเลือกโทนสี เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งแล้ว ยังสามารถเพิ่มบรรยากาศแบบคาเฟ่ให้กับบ้านเราได้ ดังนี้

  • ใช้พรมหรือผ้าคลุมโซฟาลวดลายน่ารัก
  • วางหมอนอิงและตุ๊กตาไว้ตามมุมห้อง
  • ติดวอลเปเปอร์ลายไม้
  • ประดับด้วยโคมไฟห้อยเพดาน
  • ตั้งโต๊ะกาแฟขนาดเล็กสำหรับนั่งจิบกาแฟ
  • วางกระถางต้นไม้บนโต๊ะกาแฟ
  • ตกแต่งด้วยภาพถ่าย โปสเตอร์สีคุมโทน หรือข้อความเก๋ ๆ
  • เพิ่มโต๊ะบาร์หรือเคาน์เตอร์แบบเกาะกลาง ได้ฟีลร้านกาแฟ

นอกจากสไตล์มินิมอลแล้ว ยังมีสไตล์คาเฟ่แบบอื่นที่เราสามารถหยิบมาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านได้ด้วย เรียกได้ว่าสวยทุกแบบ เก๋ทุกแนว

  • สไตล์วินเทจ เน้นความคลาสสิก ย้อนยุค เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ ของตกแต่งที่มีกลิ่นอายวินเทจ เฟอร์นิเจอร์หนัง กับของตกแต่งโทนสีเอิร์ธโทนเข้ม ๆ
  • สไตล์โมเดิร์น เน้นความทันสมัย เรียบหรู แปลกตา ใช้โทนสีที่สดใสหรือโทนสีเข้ม เช่น สีฟ้า สีเหลือง สีดำ ควบคู่กับของตกแต่งที่เป็นเหล็ก กระจก สเตนเลส
  • สไตล์ลอฟท์ เน้นความดิบเท่ โชว์โครงสร้างของอาคาร โชว์ท่อเดินลอย ผนังปูนเปลือย และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เหล็ก อิฐ หรือไม้
  • สไตล์ธรรมชาติ เน้นความร่มรื่น มีมุมกลางแจ้ง แวดล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้า และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้หรือหิน ใช้โทนสีน้ำตาลหรือเขียว

เพียงเท่านี้ ก็สามารถเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นคาเฟ่สุดชิคได้แล้ว!

 

“Nora” โครงการทาวน์โฮมสไตล์ Minimal Cozy จาก Areeya Property บนทำเลคุณภาพ 2 แห่ง ได้แก่ บางนา และ กาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ จุดเด่นคือการตกแต่งที่เหมือนกับยกคาเฟ่ชิค ๆ มาไว้ในบ้าน เน้นความเรียบง่าย อบอุ่น ผ่อนคลาย โดยใช้โทนสีอ่อน ๆ เช่น สีขาว สีครีม สีเบจ ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้และของตกแต่งเรียบหรู บรรยากาศสวยมินิมอล ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เรียบง่ายแต่มีระดับ ดูรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่นี่

“Glass House” เปลี่ยนพื้นที่บ้านให้เป็นมุมโปรดสุดเก๋

“Glass House” คือห้องที่มีผนังและเพดานเป็นกระจกใส ช่วยให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกชัดเจน เปิดรับแสงแดดได้อย่างเต็มที่ เหมาะกับการทำเป็นห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องรับแขก หรือห้องรับประทานอาหาร และยังสามารถจัดสวนสวย ๆ ด้านนอก Glass House เพื่อให้ได้วิวใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วย

 

ข้อดีของการมีมุม Glass House ในบ้าน

  • เพิ่มพื้นที่ใช้สอย สามารถต่อเติมพื้นที่ข้างบ้านให้เป็น Glass House ได้
  • ทำให้บ้านดูกว้างขึ้น และสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกได้ชัดเจน
  • ช่วยทำให้บ้านดูโปร่งโล่ง สบายตา แสงธรรมชาติเข้ามาได้อย่างเต็มที่
  • ช่วยให้บ้านดูสวยทันสมัย มองเห็น Glass House ได้จากนอกตัวบ้าน
  • ตกแต่งง่าย ไม่ต้องทำอะไรมากก็ดูสวย มีระดับ

 

ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับ Glass House

ควรเป็นบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงเพื่อให้ได้แสงสว่างจากธรรมชาติอย่างเต็มที่ มีวิวทิวทัศน์สวยงาม ติดสวนหรือสระน้ำ และเหมาะมากกับบ้านที่ดินแปลงมุม เพราะสามารถเปิดรับวิวได้มากกว่า 1 ด้าน นอกจากนี้ยังควรมีร่มเงาต้นไม้อยู่เหนือหลังคากระจกเพื่อไม่ให้ห้องร้อนจนเกินไป

 

การเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม

วัสดุที่ใช้ในการทำ Glass House ควรเป็นกระจกที่แข็งแรง ทนทาน กันความร้อนได้ดี และต้องใช้วัสดุยาแนวกันซึมคุณภาพสูงสำหรับงานกลางแจ้ง ป้องกันปัญหารั่วซึม ถ้าอยู่ในจุดที่แดดร้อนจัดอาจเสริมหลังคาฉนวน และเลือกใช้กระจกแบบ Low-E ที่ช่วยสะท้อนอุณหภูมิเพื่อไม่ให้บ้านร้อนจนเกินไป

 

ตกแต่งเพิ่มความร่มเย็น

ข้อควรระวังเล็ก ๆ ของ Glass House คือความร้อนจากแดด ควรติดตั้งม่านหรือมู่ลี่เพื่อบังแสงแดดในบางช่วงเวลา กระจกบางบานอาจทำเป็นกระจกฝ้ากรองแสง ตกแต่งห้องด้วยต้นไม้ประดับเพื่อเพิ่มความสดชื่น รวมถึงใช้ผ้าใบหรือร่มเก๋ ๆ ในบางจุดที่แดดส่องแรง ใน Glass House ควรมีหน้าต่างที่เปิดระบายอากาศได้ ปลูกต้นไม้รอบ ๆ ให้มากเข้าไว้ และควรมีฉากกั้นระหว่างโซน Glass House กับห้องแอร์ เพื่อไม่ให้แอร์ทำงานหนักเกินไปในตอนที่ Glass House ไม่ได้ถูกใช้งาน

 

ตัวอย่างการใช้งาน Glass House

  • ห้องนั่งเล่น
    มักออกแบบให้มีหน้าต่างหรือประตูบานใหญ่ เพื่อให้สามารถมองเห็นวิวภายนอกบ้านได้อย่างเต็มที่ และจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับการนั่งชมวิว
  • ห้องรับประทานอาหาร
    วางโต๊ะรับประทานอาหารไว้กลางห้อง จะเป็นโต๊ะกลมหรือโต๊ะยาวก็ดูสวยลงตัว สามารถใช้เป็นได้ทั้งห้องทานข้าวและห้องประชุม หรือจะใช้จัดปาร์ตี้เก๋ ๆ ก็สะดวก
  • ห้องทำงาน  
    นิยมวางโต๊ะทำงานอยู่ติดกระจก เพื่อให้สามารถมองเห็นวิวภายนอกได้ในขณะที่ทำงาน อีกทั้งยังควรจัดวางเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับการใช้งาน
  • ห้องอ่านหนังสือ
    จัดมุมโซฟานั่งอ่านหนังสือริมหน้าต่าง เสริมด้วยเก้าอี้ Bean Bag น่ารัก ๆ มุมห้อง แวดล้อมด้วยชั้นหนังสือติดผนังและชุดโต๊ะเก้าอี้สไตล์บาร์ เหมาะสำหรับนั่งจิบกาแฟ
  • พื้นที่อเนกประสงค์
    เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลายอย่าง เช่น โซฟาที่ปรับเป็นเตียงได้ โต๊ะรับประทานอาหารที่สามารถปรับเป็นโต๊ะทำงานได้ หรืออาจเว้นเป็นพื้นที่ว่างสำหรับกิจกรรมของเด็ก ๆ

 

เพียงเท่านี้ เราก็สามารถมี Glass House ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวได้แล้ว!

“Como Primo” โครงการบ้านเดี่ยวหรูจาก Areeya Property บนทำเลใกล้ถนนบางนา-ตราด ออกแบบภายใต้แนวคิด Modern Minimal เน้นความเรียบง่าย ทันสมัย ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า บ้านทุกหลังมีระเบียงขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวสวนสาธารณะภายในโครงการ และมาพร้อม Glass House ส่วนตัวทุกหลัง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติ ดูรายละเอียดโครงการได้ที่นี่

 

 

 

Minimal Cozy เทรนด์แต่งบ้านสไตล์ใหม่ ที่ไม่ใช่แค่เรียบง่าย แต่อบอุ่นดีต่อใจ

ตอนนี้ใคร ๆ ก็นิยมแต่งบ้านแบบมินิมอล แต่ความเรียบง่ายเกินไปบางครั้งก็อาจทำให้บ้านดูแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา เลยมีเทรนด์แบบใหม่เกิดขึ้นมา นั่นก็คือการแต่งบ้านสไตล์ “Minimal Cozy” ซึ่งเป็นการตกแต่งที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่ายแบบ Minimal และความอบอุ่นแบบ Cozy เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างบรรยากาศบ้านที่ดูผ่อนคลาย เป็นกันเอง และดูสดใสมีชีวิต

ถ้าคุณเบื่อบ้านมินิมอลแบบเดิม ๆ อยากเพิ่มความอบอุ่น น่ารัก น่านั่ง น่านอน ก็สามารถครีเอทใหม่ให้เป็นสไตล์ Minimal Cozy ได้ง่าย ๆ ดังนี้

 

เทคนิคการแต่งบ้านแบบ Minimal Cozy

  • เลือกใช้โทนสี
    โทนสีเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสร้างบรรยากาศของบ้าน การแต่งบ้านสไตล์ Minimal Cozy นิยมใช้โทนสีสว่าง เช่น สีขาว สีเทาอ่อน สีครีม เป็นต้น เพื่อสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งสบายตา นอกจากนี้ยังอาจใช้โทนสีธรรมชาติ เช่น สีเขียว สีน้ำตาล เป็นต้น เพื่อเพิ่มความอบอุ่นและใกล้ชิดธรรมชาติ
  • เลือกใช้วัสดุ
    วัสดุที่ใช้ตกแต่งบ้านก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน การแต่งบ้านสไตล์ Minimal Cozy นิยมใช้วัสดุที่เรียบง่ายและดูเป็นธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน ผ้า เป็นต้น หากไม่สามารถหาวัสดุที่เหมาะสมได้ อาจเลือกใช้วัสดุอื่นที่เคลือบผิวลายไม้แทน โดยเฉพาะสีไม้โทนสว่าง จะยิ่งเพิ่มฟีลอบอุ่นได้ดี
  • เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ เลือกเฟอร์นิเจอร์สไตล์ Minimal ที่มีส่วนประกอบเป็นไม้หรือผ้าเพื่อเพิ่มฟีลอบอุ่น เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ขนาดพอดีกับพื้นที่ จัดวางให้ดูเป็นสัดส่วน ไม่แน่นห้อง ให้พอเหลือพื้นที่โล่งกว้างภายในบ้าน ที่สำคัญอีกอย่างคือควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีลวดลายเยอะจนเกินไป
  • เพิ่มลูกเล่นให้ดูน่ารัก
    การตกแต่งบ้านสไตล์ Minimal Cozy ต่างจากมินิมอลตรงที่ความเรียบง่ายแต่ไม่น่าเบื่อ เราสามารถเพิ่มลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับบ้าน เช่น การนำต้นไม้หรือดอกไม้มาจัดวาง การใช้โคมไฟที่มีดีไซน์ หรือการใช้ผ้าม่านที่มีลวดลายน่ารัก เป็นต้น

 

ตัวอย่างการตกแต่งบ้านแบบ Minimal Cozy

  • ห้องนั่งเล่น
    ห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่หลักของบ้าน เราสามารถตกแต่งห้องนั่งเล่นสไตล์ Minimal Cozy ได้โดยใช้โซฟาสีเทาอ่อน สีครีม เหรือสีเอิร์ธโทนสว่าง ควบคู่กับโต๊ะกาแฟไม้ ตกแต่งด้วยหมอนอิงหรือผ้าคลุมโซฟาสีครีมหรือสีน้ำตาลอ่อน และเพิ่มลูกเล่นด้วยแจกันดอกไม้หรือต้นไม้
  • ห้องครัว
    ห้องครัวควรตกแต่งให้ดูสะอาดสะอ้านและน่าใช้งาน เราสามารถตกแต่งห้องครัวสไตล์ Minimal Cozy ได้โดยใช้เคาน์เตอร์ครัวสีขาวสะอาด ตู้เก็บของไม้ ตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้หรือภาพวาด และเสริมความน่ารักของมุมโต๊ะอาหารด้วยผ้าปูโต๊ะลายสก๊อต
  • ห้องนอน
    ห้องนอนควรตกแต่งให้ดูผ่อนคลายและเหมาะกับการพักผ่อน เราสามารถตกแต่งห้องนอนสไตล์ Minimal Cozy ได้โดยใช้เตียงสีขาว โต๊ะข้างเตียงไม้ ตกแต่งด้วยผ้าปูที่นอนหรือหมอนโทนสีเอิร์ธโทน และเพิ่มความเป็นธรรมชาติด้วยไม้ประดับต้นเล็ก ๆ ที่มุมห้อง
  • ห้องน้ำ
    แม้แต่ห้องน้ำเราก็เพิ่มความอบอุ่นได้นะ โดยการใช้ของตกแต่งไม้ชิ้นเล็ก ๆ เพิ่มต้นไม้ประดับ แขวนผ้าเช็ดมือสีเอิร์ธโทนหรือลายสก็อตเก๋ ๆ และพยายามให้มีช่องเปิดรับแสงธรรมชาติ

 

เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถมีบ้านที่สวยเรียบง่ายแต่ไม่น่าเบื่อได้แล้ว

“NORA”

โครงการทาวน์โฮมรูปแบบใหม่จาก Areeya Property ตกแต่งสไตล์ Minimal Cozy บนทำเลคุณภาพ 2 แห่ง คือ บางนา และ ชัยพฤกษ์ – วงแหวน โดดเด่นด้วยการออกแบบที่เรียบง่ายแต่อบอุ่น เน้นการใช้ช่องแสงธรรมชาติขนาดใหญ่ และดีไซน์ฟังก์ชันที่คราฟท์ทุกรายละเอียด เพื่อเติมเต็มความอบอุ่นของทุกคนในบ้าน ตอบโจทย์บ้านหลังแรกสำหรับครอบครัว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ NORA ได้ที่นี่

เทคนิคแต่งบ้านด้วยงานไม้ ให้ดูอบอุ่น สวยคุมโทน

การแต่งบ้านด้วยงานไม้เป็นที่นิยมมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณสมบัติของไม้ที่มีความสวยงามเป็นธรรมชาติ ทนทาน ดูแลรักษาง่าย และสามารถเข้ากับการตกแต่งสไตล์ต่างๆ ได้หมด ไม่ว่าจะเป็นสไตล์คลาสสิก โมเดิร์น หรือมินิมอล และที่สำคัญคือความสวยอมตะที่ไม่มีวันล้าสมัย

ไอเดียแต่งบ้านด้วยงานไม้

  • พื้นไม้
    พื้นไม้เป็นการตกแต่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ดูอบอุ่นและผ่อนคลาย สามารถเลือกพื้นไม้ได้หลากหลายชนิดและสีสันตามความชอบ
  • ผนังไม้
    ผนังไม้ช่วยเพิ่มมิติให้กับห้องและทำให้ดูมีสไตล์มากขึ้น สามารถเลือกตกแต่งผนังไม้ได้หลายแบบ เช่น ผนังไม้เรียบ ผนังไม้ระแนง หรือผนังไม้ติดวอลล์เปเปอร์ลายไม้
  • เพดานไม้
    เพดานไม้ช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับห้อง สามารถเลือกตกแต่งเพดานไม้ได้หลายแบบ เช่น เพดานไม้ระแนง เพดานไม้ติดบัว หรือเพดานไม้ติดโคมไฟ
  • เฟอร์นิเจอร์ไม้
    เฟอร์นิเจอร์ไม้ช่วยเติมเต็มการตกแต่งภายในบ้านให้ดูสมบูรณ์แบบ สามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์ไม้ได้หลากหลายประเภท เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน หรือตู้เสื้อผ้า
  • ของตกแต่งไม้
    ของตกแต่งไม้ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับมุมต่างๆ ภายในบ้าน สามารถเลือกของตกแต่งไม้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น แจกันดอกไม้ โคมไฟ กรอบรูป หรือนาฬิกา

เทคนิคการแต่งบ้านด้วยงานไม้

  • เลือกไม้ให้เหมาะกับการใช้งาน
    ไม้แต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ควรเลือกไม้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้แดง หรือไม้โอ๊ค
  • เตรียมพื้นผิวก่อนตกแต่ง
    ควรเตรียมพื้นผิวให้เรียบและสะอาดก่อนตกแต่ง เพื่อช่วยให้งานไม้ดูสวยงามและมีอายุการใช้งานยาวนาน
  • เลือกใช้สีไม้ให้เหมาะสม
    สีไม้มีหลายเฉดสีให้เลือก ควรเลือกใช้สีไม้ให้เหมาะสมกับสไตล์การตกแต่งภายในบ้าน
  • ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ
    ควรดูแลรักษางานไม้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งาน

ตัวอย่างการตกแต่งบ้านด้วยงานไม้

  • สไตล์คลาสสิก
    การตกแต่งบ้านด้วยงานไม้สไตล์คลาสสิก เน้นการใช้ไม้สีเข้ม เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า หรือไม้แดง ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ชิ้นใหญ่และหรูหรา
  • สไตล์โมเดิร์น
    การตกแต่งบ้านด้วยงานไม้สไตล์โมเดิร์น เน้นการใช้ไม้สีอ่อน เช่น ไม้โอ๊ค ไม้บีช หรือไม้แอช ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ดีไซน์เรียบง่าย
  • สไตล์มินิมอล
    การตกแต่งบ้านด้วยงานไม้สไตล์มินิมอล เน้นการใช้วัสดุไม้สีอ่อนควบคู่กับสีขาว ร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เรียบง่ายและน้อยชิ้น และอาจเพิ่มต้นไม้ประดับเพื่อเพิ่มความสดใส

การแต่งบ้านด้วยงานไม้เป็นไอเดียที่สามารถทำได้หลากหลาย สามารถเลือกตกแต่งได้ตามสไตล์ที่ชอบและงบประมาณที่มี จะช่วยให้บ้านดูอบอุ่น ผ่อนคลาย และใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น

“COMO BOTANICA II” บ้านเดี่ยวโครงการใหม่โดย Areeya ตอบโจทย์ความต้องการบ้านเดี่ยวในทำเลดี ดีไซน์สวยใกล้ชิดธรรมชาติ และฟังก์ชันการใช้งานครบครัน มีสไตล์การตกแต่งแบบ Modern Tropical เน้นการผสมผสานระหว่างความร่มรื่นและความทันสมัย เรียบง่าย อบอุ่น โดยใช้วัสดุและสีสันที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ เช่น พื้นไม้ ผนังสีขาว และเฟอร์นิเจอร์ไม้ การตกแต่งภายในทุกห้องเน้นการใช้แสงธรรมชาติ เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่นี่

เคล็ดลับแต่งบ้านสไตล์พูลวิลล่า เหมือนได้พักผ่อนสุดหรูทุกวัน

บ้านพูลวิลล่า โดยความหมายคือบ้านที่มีสระว่ายน้ำเป็นหัวใจของบ้าน มักตั้งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น ริมทะเล ริมแม่น้ำ หรือล้อมด้วยสวนขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายแบบมีระดับ หลายคนเลยอยากแต่งบ้านตัวเองให้ได้ฟีลแบบพูลวิลล่าบ้าง ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • เลือกสีเอิร์ธโทนสบายตา
    โทนสีที่มักใช้ตกแต่งบ้านสไตล์พูลวิลล่า ได้แก่ สีฟ้า สีเทอร์ควอยซ์ และสีเอิร์ธโทนต่าง ๆ เช่น สีน้ำตาล สีเบจ สีครีม เป็นต้น โทนสีเหล่านี้ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตา อบอุ่น เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ
  • เน้นความโปร่งโล่งสบาย
    บ้านสไตล์พูลวิลล่ามักมีพื้นที่กว้างขวาง ปลอดโปร่ง ให้มองเห็นวิวรอบ ๆ ได้เต็มที่ หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ไม่จำเป็น หรือของตกแต่งที่มากเกินพอดี หรือตกแต่งผนังด้วยกระจกเงาบานใหญ่เพื่อลดความอึดอัด เพื่อให้บ้านของคุณมีโซนโล่งกว้าง ใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัวได้เต็มที่
  • ตกแต่งด้วยต้นไม้
    สีเขียวเป็นสีที่เข้ากับสีเอิร์ธโทนเป็นอย่างดี ควรเพิ่มไม้ประดับเพื่อช่วยให้บ้านดูมีชีวิตชีวามากขึ้น อย่าลืมเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับสภาพอากาศ ดูแลง่าย ทนทาน และมีความหมายเป็นมงคล หรือถ้าใครไม่มีเวลาดูแลต้นไม้มากนักอาจจะเลือกเป็นต้นไม้ประดิษฐ์ก็ได้เหมือนกัน
  • ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้
    เฟอร์นิเจอร์ไม้จะช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย เหมาะกับสีสันของสนามหญ้าและสีฟ้าของสระว่ายน้ำ สำหรับพื้นที่บางจุดที่ไม่เหมาะกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ อาจจะเลือกใช้เป็นกระเบื้องลายไม้หรือวัสดุที่ทำลายเลียนแบบไม้ก็ได้
  • เน้นแสงธรรมชาติให้มากที่สุด
    แสงจากโคมอะไรก็สวยไม่เท่าแสงแดดธรรมชาติ ถ้าอยากได้บ้านที่ให้ความผ่อนคลาย สดใส ควรมีช่องแสงธรรมชาติให้บ้านให้มากเข้าไว้ เช่น การสร้างโซน Glass House ภายในบ้าน ที่ผนังทั้งด้านเป็นกระจกใสตั้งแต่พื้นจรดเพดาน หรือการเพิ่มช่อง Sky Light ตามห้องต่าง ๆ
  • จัดสวนสวยข้างบ้าน
    บ้านสไตล์พูลวิลล่าควรมีสวนสวยที่ร่มรื่น เพื่อให้สามารถพักผ่อนและเพลิดเพลินกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ต้นไม้ที่เหมาะกับการจัดสวนสไตล์พูลวิลล่า เช่น ต้นปาล์ม ต้นเฟิร์น นอกจากนี้ ยังสามารถตกแต่งด้วยน้ำพุหรือพื้นหินกรวดเพื่อเพิ่มความสมดุลของสวนให้ใกล้เคียงธรรมชาติ

 

เพียงเท่านี้ก็สามารถเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นพูลวิลล่าสุดชิคได้แล้ว!

 

“COMO PRIMO” โครงการบ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่จาก Areeya ออกแบบเพื่อไลฟ์สไตล์แบบ Vacation ในพูลวิลล่าส่วนตัว มาพร้อมกับโซน Glass House สุดหรูทุกหลัง เปิดรับแสงธรรมชาติเต็มที่ บนทำเลที่ดีที่สุด ให้คุณได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดเมืองไปพร้อมกับกับการพักผ่อนท่ามพื้นที่สีเขียว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการได้ที่นี่