เตรียมตัวซื้อบ้านช่วงปลายปี มีวิธีอย่างไร?

การเตรียมกู้ซื้อบ้านช่วงปลายปี มีวิธีอย่างไร

ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ การเลือกซื้อบ้านเป็นของขวัญให้กับตัวเองนับเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ควรค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) ชั่วคราว ให้สามารถกู้ได้ 100% เต็มมูลค่าหลักประกันสำหรับการยื่นกู้บ้านในทุกระดับราคา จากเดิมอยู่ที่ 70-100% ซึ่งมาตรการนี้จะสิ้นสุดถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 นับได้ว่าเป็นนาทีทองของคนกำลังมองหาบ้านใหม่เลยทีเดียว แต่ก่อนที่จะมีบ้านสักหลังแบบง่ายๆ สบายๆ ผ่านขั้นตอนการกู้บ้านกับธนาคาร มีขั้นตอนที่ควรรู้ และต้องเตรียมความพร้อมกันเสียก่อน โดยขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้การยื่นกู้บ้านนั้นผ่านฉลุยอย่างง่ายดาย มาดูว่าต้องเตรียมอะไรกันบ้าง

1. เลือกบ้านที่ใช่ สไตล์ที่ชอบ

ก่อนการยื่นกู้ซื้อบ้านนั้น ผู้กู้ต้องเลือกหาบ้านที่ตอบโจทย์ชีวิต กับสไตล์ที่ใช่เสียก่อน เพื่อเตรียมตัวสำหรับการยื่นกู้ และประเมินวงเงินกู้ซื้อบ้านที่จะได้รับ แต่ถ้าใครยังไม่มีตัวเลือกในใจ เรามาดูกันก่อนว่าควรเลือกบ้านแบบไหนให้ตอบโจทย์ได้บ้าง
อันดับแรก คนส่วนใหญ่มักเลือกบ้านจากทำเลเป็นหลัก เพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางไปทำงาน หรือใช้ชีวิตในประจำวัน อันดับที่สอง เป็นเรทราคาที่สามารถกู้ซื้อบ้านได้ โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอนุมัติวงเงินการกู้อยู่ที่ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน ก็จะทำให้เรารู้ว่าความสามารถในการจ่ายต่อเดือน รวมถึงราคาบ้านที่สามารถกู้ได้อยู่ที่ราคาเท่าไหร่ สุดท้าย เมื่อเรารู้วงเงินกู้ซื้อบ้านโดยประมาณการ ก็สามารถเลือกเราแบบบ้าน ที่ตอบโจทย์ในโซนและทำเลที่ต้องการได้

2. สำรวจเครดิตบูโร และเอกสารให้พร้อมก่อนยื่นกู้ซื้อบ้าน

ก่อนการยื่นเอกสารสำหรับการกู้บ้าน ผู้กู้ควรสำรวจเครดิตบูโรของตนเองเสียก่อน ว่าอยู่ในสถานะปกติหรือไม่ หากเคยมีประวัติติดบูโร ควรเคลียร์ประวัติให้อยู่ในสถานะปกติ 2-3 ปี ส่วนในเรื่องของการเตรียมเอกสารสำหรับยื่นกู้ของทุกธนาคารมักมีรายละเอียดที่ไม่แตกต่างกัน เพียงตรวจสอบคุณสมบัติ และเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อม ขั้นตอนการยื่นกู้ก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว โดยจะมีรายละเอียด และรายการเอกสารที่ต้องเตรียม ดังนี้
– ผู้กู้ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ไม่เกิน 65 ปี
– บัตรประชาชน
– ทะเบียนบ้าน
– ทะเบียนสมรส
– ใบเปลี่ยนชื่อ หรือนามสกุล (ถ้ามี)
– หนังสือรับรองเงินเดือน หรือสลิปเงินเดือน
– เอกสารรับรองการทำงาน
– หลักฐานแสดงรายได้พิเศษอื่นๆ
– รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
หลังจากการยื่นเอกสารการกู้ซื้อบ้านต่างๆ ครบถ้วนแล้ว โดยทั่วไปธนาคารจะใช้เวลาในการพิจารณาและอนุมัติสินเชื่อประมาณ 7-20 วันทำการ แต่ก็มีบางธนาคารที่อาจใช้เวลาเพียง 3 วันในการแจ้งผลอนุมัติเบื้องต้น หรือบางรายอาจนานเป็นเดือนหากธนาคารขอเอกสารในการพิจารณาอื่นๆ เพิ่มเติม

3. เช็ครายได้ และความสามารถในการกู้

การพิจารณาวงเงินในการกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดของธนาคารนั้น ปกติแล้วจะดูจากฐานเงินเดือน หรือรายรับ รายได้เสริมอื่นๆ ระยะเวลาในการทำงาน รวมถึงความน่าเชื่อถือของงานที่ทำ และที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือยอดหนี้สินปัจจุบันที่ยังผ่อนชำระอยู่ ซึ่งจะส่งผลต่อวงเงินที่อนุมัติ ถ้าหากใครต้องการกู้ในวงเงินสูงสุดก็ควรวางแผนปิดยอดหนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยพื้นฐานแล้วทางธนาคารมักจะอนุมัติวงเงินกู้อยู่ที่ประมาณ 50 เท่าของเงินเดือน หรืออาจมากกว่าก็ขึ้นอยู่กับประวัติทางการเงิน รวมถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ ซึ่งไม่ควรเกิน 40% ของเงินเดือน

4. เลือกโปรโมชั่นดอกเบี้ยบ้านแบบถูกๆ กู้ง่ายๆ

ปัจจุบันหลายๆ ธนาคารมักออกโปรโมชั่นดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำ โปรโมชั่นของแต่ละธนาคารก็จะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้มักจะมีโปรโมชั่นพ่วงกับลูกค้าเก่าที่เคยใช้บริการ ลูกค้าองค์กร หรือลูกค้ายื่นกู้บ้านหลังแรก เป็นต้น ก่อนการตัดสินยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคารไหนจึงควรสำรวจโปรโมชั่นและรายละเอียดของหลายๆ ธนาคารเสียก่อน

5. กู้ร่วม ช่วยเพิ่มโอกาสในกู้บ้านได้ง่ายขึ้น

การกู้ร่วม เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นตัวช่วยในการยื่นกู้ซื้อบ้าน และคอนโดได้ง่ายขึ้น และได้วงเงินการกู้ที่สูงขึ้นด้วย ทั้งนี้เงื่อนไขในการกู้ร่วมเพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโดนั้น ผู้กู้ร่วมถูกกำหนดให้เป็นญาติสนิท ได้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง (นามสกุลเดียวกัน) คู่สมรส (จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน) รวมไปถึงคู่รักกลุ่ม LGBTQ ที่มีเอกสารยืนยันมีการอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งธนาคารจะมีเอกสารให้กรอกรายละเอียดเพิ่มเติม

การเตรียมเอกสาร และหลักฐานสำหรับการยื่นกู้บ้านตามรายการที่แนะนำไปเบื้องต้นแล้วนั้น เชื่อว่าจะสามารถทำให้ขั้นตอนการยื่นกู้ และการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้ซื้อบ้าน และคอนโดในช่วงปลายปีแบบนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และรวดเร็วทันเข้าอยู่ต้นปีหน้าเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคุณและครอบครัวอย่างแน่นอน

เลือกดูบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ ทำเลที่ใช่ สไตล์ที่ชอบจาก อารียา พรอพเพอร์ตี้
ทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล คลิก บ้านเดี่ยว วิลเลจทาวน์ ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม

awsa

ปลดล็อก LTV กู้ได้เต็ม 100% ข่าวดีสำหรับคนอยากซื้อบ้าน

ปลดล็อก LTV กู้ได้เต็ม 100% ข่าวดีสำหรับคนอยากซื้อบ้าน

เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2564 ธปท. ได้มีการแถลงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่อง (LTV) ให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย สามารถกู้ได้เต็มหลักประกันในทุกสัญญาเป็นการชั่วคราว

โดยสาระสำคัญของการผ่อนคลาย LTV ในครั้งนี้คือ การปลดล็อกให้สามารถขอกู้ซื้อบ้านได้เต็ม 100% ไม่ว่าจะบ้าน คอนโดมิเนียม หรือทาวน์โฮม* จะหลังที่เท่าไหร่ หรือราคาไหน ก็สามารถยื่นกู้ได้หมด แบบไม่ต้องวางเงินดาวน์ และหากเป็นบ้านหลังแรก และราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ไว้เป็นค่าตกแต่งบ้าน

ซึ่งการผ่อนคลาย LTV ในครั้งนี้ จะมีผลเพียงชั่วคราวสำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เท่านั้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ดังนั้นใครที่กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาเตรียมซื้อบ้านต้องรีบตัดสินใจกันได้เลย

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

awsa

ทำความรู้จักกับ SMART HOME บ้านสำหรับคนรุ่นใหม่

ทำความรู้จักกับ SMART HOME บ้านสำหรับคนรุ่นใหม่

ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการใช้ชีวิต และได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแนวโน้มของเทรนด์การอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนั้น ได้มีหลากหลายแบรนด์ที่สร้างสรรค์และพัฒนาการใช้งานผลิตภัณฑ์ร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ในรูปแบบต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความเป็นอัจฉริยะ และความสะดวกสบายของผู้บริโภค ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่นำเทคโนโลยีอัจฉริยะเหล่านี้เข้ามาประยุกต์ใช้งานร่วมกับที่อยู่อาศัย และกลายเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเกิดผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นที่เรียกว่า “บ้านอัจฉริยะ”

เทรนด์การอยู่อาศัยที่ทำให้บ้าน เป็นมากกว่าบ้าน บ้านที่จะช่วยตอบโจทย์ความสะดวกสบายในทุกจุด เรามาดูเทรนด์การอยู่อาศัยในบ้านอัจฉริยะกันค่ะ ว่ามีความอัจฉริยะรูปแบบไหนบ้างที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมัยใหม่

Smart Device อุปกรณ์อัจฉริยะ

อุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Device) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถประมวลผลและทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกสบาย และให้ความประหยัดต่อผู้ใช้งาน อาจเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต IoT หรือ Internet of Things หรือไม่ก็ได้ ซึ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่พัฒนามารองรับเทคโนโลยีเหล่านี้ก็มีอย่างหลากหลายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น แอร์คอนดิชั่นที่สามารถสั่งการได้ผ่านมือถือ การตั้งค่าเปิด/ปิดทีวีอัตโนมัติ แอปพลิเคชันควบคุมการเปิด/ปิดไฟในบ้าน ระบบกล้องวงจรปิดที่สามารถดูผ่านมือถือไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ระบบเปิด/ปิดประตูรั้วบ้าน ระบบรางเลื่อนผ้าม่านอัตโนมัติ ระบบกันขโมย เป็นตัน

Smart Speaker ระบบการสั่งการด้วยเสียง

ระบบสั่งการด้วยเสียง (Smart Speaker) เป็นอีกเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ให้สามารถเข้าใจคำสั่งในรูปแบบเสียงได้ โดยปัจจุบันเราสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้่ได้จริง ยกตัวอย่าง เช่น ลำโพงอัจฉริยะที่สามารถสตรีมเพลงได้จากทุกที่ที่คุณชื่นชอบ โทรศัพท์ที่สามารถถามข้อมูลต่างๆ และสามารถค้นหาข้อมูลและตอบโต้ได้ทันที การเปิด/ปิดไฟ หรือปรับระดับแสงด้วยเสียง และยังมีอีกหลายอย่างที่เข้ามาช่วยให้การใช้ชีวิตภายในบ้านสะดวกขึ้นเพียงออกคำสั่งด้วยเสียงเท่านั้น

Smart Sensor เครื่องตรวจจับอัจฉริยะ

เครื่องตรวจจับอัจฉริยะ (Smart Sensor) เป็นเทคโนโลยีระบบที่ทำหน้าที่ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุ และสิ่งของต่างๆ มาประมวลผลและสั่งการ ซึ่งปัจจุบันมีการนำระบบ Smart Sensor มาใช้ร่วมกับอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ใช้ภายในที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเซ็นเซอร์การเปิด/ปิดไฟ ระบบเตือนไฟไหม้เมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อนที่ผิดปกติ อุปกรณ์แจ้งเตือนอนุภาคฝุ่นภายในที่อยู่อาศัย เป็นต้น ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มที่เทคโนโลยีชิปเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์จะมีขนาดเล็กลง และมีความฉลาดเพิ่มมากขึ้น ก็จะทำให้มีอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ติดตั้งระบบเซนเซอร์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ชีวิตได้มากขึ้นทีเดียว

Smart Door Lock ล็อกประตูอัจฉริยะ

ระบบล็อกประตูอัจฉริยะ (Smart Door Locks) เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ที่อาศัยอยู่บ้านหรือคอนโด ที่ไม่ต้องคอยพกกุญแจ และลืมเรื่องการลืมกุญแจหรือการทำกุญแจหายไปได้เลย เพราะเทคโนโลยีนี้ จะทำให้คุณล็อคประตูได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจไข แต่ระบบจะถูกเปลี่ยนมาเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเปิดและล็อคประตูได้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การกดรหัสผ่าน ใช้บัตรสารพัดที่มีอยู่กระเป๋าของคุณแทนกุญแจ การสแกนลายนิ้วมือ การสแกนม่านตา ฯลฯ ซึ่งนอกจากนี้ยังสามารถใช้แอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อควบคุมการล็อกประตูอัจฉริยะในระยะไกลได้อีกด้วย

เทคโนโลยีที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบอัจฉริยะในรูปแบบต่างๆ ที่จะช่วยตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น นับเป็นจุดขายของการเป็น “บ้านอัจฉริยะ” และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อบ้านได้ไม่น้อย

awsa

ห้องนอนผู้สูงอายุ ออกแบบอย่างไรให้สะดวกและปลอดภัย

ห้องนอนผู้สูงอายุ ออกแบบอย่างไรให้สะดวกและปลอดภัย

การออกแบบที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เป็นเรื่องที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษสำหรับครอบครัวที่มีญาติผู้ใหญ่ เนื่องด้วยอายุที่มากขึ้น ย่อมทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพลง และไม่สามารถใช้งานร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนไหว และการช่วยเหลือตัวเองลดลงจากวัยหนุ่มสาว

ซึ่งห้องนอนผู้สูงอายุเป็นห้องที่ควรได้รับการออกแบบเป็นพิเศษ เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักใช้กิจวัตรประจำวันในห้องนอนมากกว่าห้องอื่นๆ ซึ่งหลายๆ ท่านก็มักใช้ห้องนอนเป็นห้องมัลติฟังก์ชั่น ที่สามารถเป็นได้ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องทานอาหาร ห้องออกกำลังกาย และห้องน้ำ ภายในห้องเดียวแบบเบ็ดเสร็จ การออกแบบห้องนอนของผู้สูงอายุจึงควรคำนึงถึงความสะดวกในเรื่องของการใช้งาน และความปลอดภัยเป็นหลัก อารียา พรอพเพอร์ตี้ จึงขอเสนอไอเดียการออกแบบห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อการดูแลญาติผู้ใหญ่ของคุณให้ได้พักผ่อนและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขกันนะคะ

ตำแหน่งของห้องนอน

ห้องนอนผู้สูงอายุควรเป็นห้องที่ง่ายต่อการเข้าถึง หากเป็นบ้านหลายชั้นควรจัดห้องนอนผู้สูงอายุไว้ชั้นล่างของบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินขึ้น-ลงบันได และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการพลัดตกบันได ห้องนอนผู้สูงอายุควรอยู่ติดกับห้องน้ำ หรือถ้าหากมีห้องน้ำอยู่ในตัวห้องนอนเลยก็จะดีมาก เพื่อความสะดวกของการใช้งาน

แสงสว่าง และสีสันที่เหมาะสม

ผู้สูงอายุมักมีสายตาที่พร่ามัว อาจทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนนัก การทาสีห้องโทนสีสว่างๆ เช่น ขาว ครีม เหลืองอ่อน เขียวอ่อน เป็นต้น จะทำให้แสงธรรมชาติที่ส่องเข้ามายังห้องสะท้อนความสว่างได้ดี ทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง นอกจากนี้หลอดไฟที่นำมาใช้ ควรเป็นแสงนวลสบายตา ไม่สว่างจ้าเกินไป สวิตช์ไฟควรติดตั้งอยู่บริเวณใกล้เตียงนอน สามารถเอื้อมมือถึงอย่างสะดวก เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินไปเปิด-ปิดไฟยามดึก

อุปกรณ์ช่วยเหลือภายในห้องนอน

อุปกรณ์ช่วยเหลือภายในห้องเป็นสิ่งที่ควรออกแบบ และตระเตรียมให้พร้อม เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ภายในห้องได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น เช่น ราวจับเพื่อช่วยพยุงตัว ที่ต้องติดตั้งตามจุดต่างๆ ของห้องที่มักใช้งานบ่อยๆ ราวกันตกข้างเตียงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในการพลัดตกเตียง และยังสามารถช่วยพยุงตัว พลิกเปลี่ยนท่า หรือพยุงตัวเพื่อลุกนั่งหรือยืนได้เอง นอกจากนี้การเลือกใช้วัสดุภายในห้อง เช่น ลูกบิดประตู หรือหน้าต่าง ก็ควรเลือกใช้วัสดุที่สามารถบิดโยกได้ง่าย ดีไซน์เรียบ ใช้งานได้ไม่ลำบาก ส่วนใครกังวลว่าผู้สูงอายุอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง แล้วต้องการเรียกหา หรือเกิดเหตุฉุกเฉินจะสื่อสารกันลำบาก ก็สามารถติดตั้งโทรศัพท์ภายในหรืออินเตอร์คอมเพื่อการสื่อสารที่สะดวกได้อีกทาง

เฟอร์นิเจอร์ที่ปลอดภัย

เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนอนผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็น เตียง โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น เป็นไปได้ควรเลือกหาเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีเหลี่ยมคม หรือหาอุปกรณ์กันกระแทกมาติดตั้งบริเวณจุดเหลี่ยมต่างๆ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจากการเดินชน หรือล้มกระแทกได้ และเฟอร์นิเจอร์ที่ควรใส่ใจและไม่ควรมองข้ามเลยก็คือเตียงนอน เตียงที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมในระดับข้อพับเข่าของผู้สูงอายุ หากผู้สูงอายุในรายที่ขยับตัวเองได้ลำบาก ควรเลือกเตียงที่สามารถปรับระดับเพื่อช่วยพยุงตัวปรับท่านั่ง ท่านอนได้ ก็จะช่วยให้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ห้องน้ำจุดเสี่ยงของความปลอดภัย

ห้องน้ำผู้สูงอายุควรออกแบบพื้นให้อยู่ในระดับเดียวกับพื้นด้านนอก หรือระดับต่างกันเล็กน้อย ไม่ควรมีธรณีประตู เพื่อป้องกันการเดินสะดุดล้ม พื้นห้องน้ำควรเลือกใช้วัสดุที่มีความหยาบ ไม่มันวาว เพื่อป้องกันการลื่นล้ม  ผนังกับพื้นของห้องน้ำควรใช้เฉดสีที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ผนังห้องน้ำควรติดตั้งราวเพื่อช่วยพยุงตัวลุกขึ้นยืนจากโถสุขภัณฑ์ หรือราวริมผนังเพื่อช่วยพยุงตัวเวลาเดิน ภายในห้องน้ำควรมีเก้าอี้สำหรับนั่งอาบน้ำ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถนั่งอาบน้ำได้โดยไม่ต้องยืนนาน ซึ่งเก้าอี้อาบน้ำควรหลีกเลี่ยงการใช้เก้าอี้พลาสติก ควรเป็นเก้าอี้ที่มีความแข็งแรง ขาเก้าอี้ควรมีความฝืด เพื่อป้องกันการลื่นไถลนั่นเอง

นอกจากไอเดียเหล่านี้ที่ อารียา พรอพเพอร์ตี้ นำเสนอไปแล้ว คุณสามารถสามารถสังเกตพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุที่บ้าน เพื่อติดตั้ง และจัดหาอุปกรณ์เสริมความสะดวก และความปลอดภัยเพิ่มเติมได้เอง เชื่อว่าจะช่วยทำให้ผู้ส่งอายุมีความสุขที่สามารถใช้ชีวิตแบบช่วยเหลือตัวเองได้ และมีความปลอดภัยอยู่กับครอบครัวที่รักไปอีกนานค่ะ

awsa

เคล็ดลับแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวยทรัพย์

เคล็ดลับแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวยทรัพย์

ฮวงจุ้ย เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในคติของชาวจีนที่นิยมนำมาใช้ร่วมกับศาสตร์ของงานสถาปัตยกรรม หรือการสร้างบ้านและการออกแบบ ที่จะช่วยปรับโครงสร้าง การจัดวางสิ่งของต่างๆ ภายในบ้านให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความเป็นสิริมงคล เงินทองไหลมาเทมา และเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

บทความนี้ อารียา พรอพเพอร์ตี้ ขอนำเสนอ 7 เคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย ที่พูดได้ว่าถ้าตกแต่งตามนี้ ความร่ำรวยทรัพย์ เงินทอง และโชคลาภ จะรอคอยอยู่หน้ารั้วบ้านอย่างแน่นอน มาดูกันว่ามีเคล็ดลับอะไรกันบ้าง

1.ปลูกต้นไม้เสริมทรัพย์

การปลูกต้นไม้บริเวณทางเข้าบ้านให้มีความเขียวชอุ่ม สดชื่น อุดมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ นอกจากให้ความสดชื่นแก่ผู้อยู่อาศัย และแขกที่มาเยี่ยมเยือนแล้ว ในหลักของฮวงจุ้ยยังเป็นตัวกระตุ้นทรัพย์ ทั้งดอกและผล จะส่งผลดีต่อเรื่องการงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ และโชคลาภด้วย

2. ประตูบ้านนำทางโชคลาภ

ประตูบ้านตามหลักฮวงจุ้ยถือเป็นทางที่เชื่อมโยงเรื่องการเงินของผู้อยู่อาศัยให้มีพลังงานไหลเวียนที่ดี การเลือกประตูบ้านให้มีความโดดเด่นดึงดูดสายตา ลักษณะของการเปิดบานประตู ควรเป็นการเปิดเข้าตัวบ้านเพื่อรับโชคลาภเข้ามา หมั่นทำความสะอาดซ่อมแซมประตูให้ดูใหม่อยู่เสมอ เพื่อเปิดรับพลังงานดีๆ เข้ามาหมุนเวียนในตัวบ้าน

3. ติดภาพบนผนังเสริมความเป็นสิริมงคล

การติดภาพที่ผนังห้องตามตำราของหลักฮวงจุ้ยแล้ว เหมาะกับการตกแต่งห้องต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องรับแขก ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องอาหาร รวมไปถึงห้องน้ำ ซึ่งภาพที่ควรนำมาติดผนังเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลตามหลักฮวงจุ้ย ควรเป็นภาพที่สื่อถึงความหมายที่ดี มีความเจริญงอกงาม ยกตัวอย่าง เช่น

  • ห้องรับแขก เป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าสุดของบ้าน ควรเลือกภาพที่ผู้มาเยือนมองเห็นแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น ภาพวิวทิวทัศน์ ภาพพระอาทิตย์ทอแสงยามเช้า ภาพทะเลที่มองเห็นเส้นขอบฟ้าอันแสนสงบ ภาพน้ำตกในแมกไม้เขียวชอุ่ม เป็นต้น
  • ห้องทำงาน ควรติดภาพภูเขาไว้ด้านหลังของโต๊ะทำงาน เพื่อดึงดูดพลังความยิ่งใหญ่ ทำให้หน้าที่การงาน และธุรกิจมั่นคงดุจดั่งขุนเขา
  • ห้องนอน ห้องนอนควรใช้ภาพตกแต่งผนังที่มีความนุ่มนวล สื่อถึงความรักและความอบอุ่น ซึ่งสามารถใช้ภาพดอกไม้ และสวนดอกไม้ หรือภาพอื่นๆ ที่สื่อถึงความรักก็ได้เช่นกัน
  • ห้องอาหาร เปรียบได้ว่าเป็นห้องสำหรับช่วงเวลาพักผ่อน การมองอะไรที่ดูแล้วผ่อนคลาย ก็จะทำให้สุขภาพในการกิน และสุภาพกายดีไปด้วย ภาพที่ควรใช้ เช่น ภาพวิว ต้นไม้ หรือผลไม้นานาชนิด เป็นต้น

4. จัดระเบียบห้องครัวดึงดูดเงินทอง

ในหลักของฮวงจุ้ยแล้ว ในส่วนของห้องครัวจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเงินโดยตรง ห้องครัวที่ดีควรมีการจัดระเบียบให้มีความเรียบร้อย เป็นสัดส่วน อุปกรณ์มีการจัดวางที่เรียบร้อย สามารถหยิบจับใช้งานได้อย่างสะดวก รวมไปถึงตู้เย็น ข้าวของภายในควรมีการจัดระเบียบให้ดูสะอาดตา หมั่นทำความสะอาดเก็บของที่เน่าเสีย หรือหมดอายุทิ้ง ล้างทำความสะอาดครัวทุกครั้งหลังใช้ เพียงเท่านี้ห้องครัวก็พร้อมรับพลังดีๆ เกี่ยวกับเงินทองได้

5.ติดไฟใต้ท้องบันไดเสริมมงคล

สำหรับบ้านไหนที่มีหลายชั้น และมีบันไปเดินเชื่อมขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ส่วนของท้องบันไดตามหลักของฮวงจุ้ย เปรียบเสมือนเป็นท้องของมังกร ควรเสริมไฟ 3 ดวงเล็ก หากบันไดมีความยาว หรือติดโคมไฟ 1 ดวง สำหรับบันไดสั้นๆ เพื่อเสริมพลังในเรื่องของการเงิน การงาน และความรักนั่นเอง

6. ห้องน้ำเสริมบารมี

พื้นที่ของห้องน้ำในบ้านเปรียบเหมือนจุดรวมพลังงานด้านลบ แต่ก็สามารถปรับแก้ให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี ก็จะช่วยส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง แถมยังดึงดูดพลังทรัพย์ได้อีกด้วย ซึ่งห้องน้ำที่ดีควรใช้สีของธาตุไม้ หรือสีเอิร์ธโทน เช่น ขาว เขียว น้ำตาล เป็นต้น เพราะเชื่อว่าสามารถดูดซับพลังงานที่รั่้วไหลได้ ภายในห้องน้ำควรเพิ่มหน้าต่าง ช่องระบายอากาศ หรือพัดลมดูดอากาศ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก นอกจากนี้หากนำต้นไม้กระถางประเภทที่ช่วยสามารถดูดกลิ่น และฟอกอากาศได้มาตั้งไว้ภายใน นอกจะสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้กับห้องน้ำแล้ว ก็จะช่วยลดพลังงานไม่ดีไปได้ด้วยเช่นกัน

7. หลังบ้านจุดเก็บทรัพย์

หลังบ้านตามหลักฮวงจุ้ยแล้วเป็นจุดเก็บทรัพย์ ควรจัดสรรพื้นที่ให้โล่ง ดูสะอาดตา ไม่วางของเกะกะ ถ้าเหลือพื้นที่มากพอ จะทำเป็นสวนเล็กๆ ก็ดีไม่น้อย หากปลูกต้นไม้ห้ามปล่อยให้รก ควรหมั่นดูแลให้โปร่งโล่ง ดูมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ

การตกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยที่กล่าวมานี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยปรับเสริมดวงของคุณ และคนในบ้านให้ดึงดูดพลังด้านบวกเข้ามาในชีวิต หากลองนำไปปรับใช้แล้ว เชื่อว่าจะสามารถช่วยทั้งสุขภาพร่างกาย การเงิน การงาน และความรักของผู้อยู่อาศัยให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

awsa

Retention VS Refinance เลือกแบบไหนผ่อนบ้านได้คุ้มสุด

Retention VS Refinance เลือกแบบไหนผ่อนบ้านได้คุ้มสุด

อีกด่านโหดที่สุดหลังอนุมัติกู้เงินจากธนาคาร นั่นคือ “ผ่อนบ้าน” เพราะเป็นสิ่งที่ต้องวางแผนอนาคตดีๆ และเมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 แล้วดอกเบี้ยจะพุ่งสูงขึ้นมากแน่นอน หลายคนจึงเริ่มเปรียบเทียบแล้วว่า ระหว่าง Retention(ผ่อนธนาคารเดิม) หรือ Refinance(ผ่อนธนาคารใหม่) แบบไหนจะคุ้มกว่ากัน และช่วยให้ผ่อนบ้านหมดเร็วที่สุด อารียาพาไปหาคำตอบกันค่ะ

Retention เป็นการต่อรองขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม มีข้อดีอยู่ที่ความสะดวกสบาย เพราะธนาคารเดิมมีเอกสารและข้อมูลอยู่แล้ว ผู้กู้แค่เตรียมแค่สัญญาเงินกู้ ทะเบียนบ้านและสำเนา และบัตรประชาชนของผู้กู้และสำเนาเท่านั้น ระยะเวลาในการพิจารณาก็ไม่นาน รวมทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า Refinance ด้วย เพราะบางธนาคารคิดแค่ธรรมเนียมประมาณ 1-2% ของยอดวงเงินกู้เดิมเท่านั้น

Refinance เป็นการกู้ธนาคารใหม่มาปิดธนาคารเก่า โดยธนาคารใหม่จะให้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า หรือเงื่อนไขดีกว่า จุดนี้จึงเป็นสิ่งดึงดูดผู้ที่ผ่อนบ้านครบ 3 ปีแรกแล้ว แต่การเตรียมเอกสาร การรออนุมัติ ก็ค่อนข้างยุ่งยากกว่า และมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มากกว่าเช่นเดียวกัน

สรุปแล้ว การ Retention และ Refinance ต่างมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ซึ่งผู้กู้ควรลองมาคำนวณเงินต้นกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเสนอมาให้ว่าแบบไหนคุ้มกว่ากัน

โดยส่วนมากบ้านที่ผ่อนครบ 3 ปีแรกยังเหลือจำนวนผ่อนอีกมาก การ Refinance จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากจำนวนที่ต้องผ่อนไม่มาก การ Retention อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะอัตราดอกเบี้ยรวมกับค่าธรรมเนียมที่เยอะในการผ่อนธนาคารใหม่แล้วพอๆ กันกับผ่อนธนาคารเดิม การได้ความสะดวกสบายอาจจะดีกว่านะคะ

awsa

เตรียมเอกสารยื่นกู้ ฉบับฟรีแลนซ์

เตรียมเอกสารยื่นกู้ ฉบับฟรีแลนซ์

การเป็นเจ้าของบ้านสักหนึ่งหลังได้นั้น ปัจจุบันมีโครงการบ้านหลากหลายทำเลให้เลือกสรรตามฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิต ซึ่งประเด็นหนึ่งที่สำคัญในการได้บ้านมาครอบครอง และไม่ควรมองข้ามเลยคือการทำเรื่องกู้เพื่อซื้อบ้านนั่นเอง สำหรับใครที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน มีรายรับหมุนเวียนเข้าบัญชีเป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว ก็ไม่น่ากังวลเกี่ยวกับเอกสารการยื่นกู้ แต่ถ้าคุณเป็นคุณหนึ่งที่ ทำอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ ได้รับเงินค่าจ้างเป็นครั้งคราว หรือไม่สม่ำเสมอ ก็จำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อเตรียมเอกสารในการยื่นกู้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร จะได้ไม่เสียเวลาในการยื่นกู้ ก่อนอื่นเรามาดูกันว่าต้องเตรียมความพร้อม เตรียมเอกสารอะไรกันบ้าง

หลักฐานแสดงว่าทำอะไรอยู่

ก่อนการยื่นกู้และเตรียมเอกสารอื่นใด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบอกและแสดงตัวตนให้ธนาคารรู้ว่าคุณคือใคร และทำอะไรอยู่ จะได้เข้าใจเรื่องการทำงาน การรับงานแล้วเกิดรายได้นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น

  • ขายของออนไลน์ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีรายได้จากการขายของด้วยการเปิดเพจ Facebook หรือแอปพลิเคชั่นต่างๆ ก็ให้บันทึกภาพหน้าจอ (Capture) หน้าร้านออนไลน์ของคุณมาแสดงหลักฐานได้
  • นักสร้างสรรค์ผลงาน หากคุณเป็นคนที่รับจ้างทำงาน แน่นอนว่าคุณต้องมีผลงานที่สามารถเห็นได้ อาจจะเป็นรูปภาพผลงาน รายงานการทำงาน หรือชิ้นงานที่นำส่งผู้ว่าจ้างก็ได้เช่นกัน
  • SME รายย่อย กรณีที่คุณเปิดธุรกิจเล็กๆ เพื่อรับงาน โดยมีการจดทะเบียนการค้า ทะเบียนพาณิชย์ หลักฐานการจดทะเบียนเหล่าก็จะแสดงความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี

เอกสารการรับเงิน/หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) หรือใบเสร็จรับเงินต่างๆ

มนุษย์ฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่จะได้รับเงินค่าจ้างจากการทำงาน หลังงานนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการจ่ายเงินค่าจ้าง ในขั้นตอนนี้จะได้รับเอกสารที่เป็นหลักฐานว่ามีการจ่ายและรับเงินจากผู้ว่าจ้าง  ซึ่งอาจจะมาในรูปแบบใบเสร็จรับเงิน หรือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ซึ่งปกติฟรีแลนซ์ทุกคนจะต้องเก็บเอกสารเหล่านี้ไว้เพื่อยื่นจ่ายภาษีอยู่แล้ว ก็สามารถนำเอกสารเหล่านี้มาประกอบเป็นหลักฐานการมีรายได้ตอนยื่นกู้บ้าน เพื่อแสดงที่มาของรายได้ที่ชัดเจนได้เป็นอย่างดี

เอกสารการเสียภาษี

ทุกคนที่ทำงานมีรายได้ เมื่อถึงช่วงต้นปีของทุกปีจะต้องยื่นเสียภาษีกับกรมสรรพากร โดยกลุ่มฟรีแลนซ์จะต้องยื่นเสียภาษีโดยมีเอกสาร ภงด.90 เป็นหลักฐานที่จะแสดงให้เห็นว่าในรอบปีที่ผ่านมา มีรายรับเท่าไหร่ ก็สามารถนำเอกสารนี้มาประกอบเอกสารการยื่นกู้บ้านได้

หลักฐานการเดินบัญชีธนาคาร

หลักฐานการเดินบัญชีธนาคาร หรือสเตทเมนท์ธนาคาร จะแสดงให้เห็นถึงความเสม่ำเสมอของเงินที่เข้า และออกจากบัญชีเงินฝาก เพื่อแสดงให้ธนาคารเห็นว่าคุณมีพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินอย่างไรบ้าง สำหรับคนทำงานประจำ จะมีเงินเดือนเข้ามาทุกสิ้นเดือน และเห็นความสม่ำเสมอได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่ในกรณีที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ควรมีการวางแผนการเดินบัญชีที่ดี ในช่วงระยะเวลา 1-2 ปี

โดยการเดินบัญชีที่ดี ควรมีการฝากเงินเข้าในจำนวนและปริมาณที่ใกล้เคียงกัน หรืออาจมากกว่าก็ได้ ในช่วงวันที่ใกล้เคียงกันของทุกเดือน การถอนเงินออกสามารถทำได้ตามพฤติกรรมการใช้จ่ายทั่วไป แต่ควรมีการถอนที่ต่ำกว่ารายรับในแต่ละเดือน และควรมีเงินเหลือติดอยู่ในบัญชีด้วยจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้ควรเดินบัญชีอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อไม่ให้ธนาคารมองว่าจงใจเดินบัญชีจนเกินไป

หากคุณได้เตรียมเอกสาร และทำตามหัวข้อข้างต้นแล้ว เชื่อว่าข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะช่วยทำให้คุณมีหลักฐานที่ครบถ้วน น่าเชื่อถือ และพร้อมที่จะยื่นกู้ซื้อบ้านได้อย่างผ่านฉลุยแน่นอน อารียา พรอพเพอร์ตี้ ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกคนได้มีบ้าน และสร้างครอบครัวอย่างมีความสุขนะคะ

awsa

สิ่งที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

สิ่งที่ควรรู้ ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

บ้าน ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต โดยปกติเราต้องมีที่พักที่อยู่อาศัยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบบ้านที่เป็นของครอบครัว บ้านเช่า หอพัก หรือที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ณ วันหนึ่งที่หลายๆ คนมีรายได้ มีศักยภาพและความพร้อมที่จะขยับขยายที่อยู่อาศัย แน่นอนว่าความคิดของการเป็นเจ้าของบ้านสักหลังจะต้องเป็นเป้าหมายของใครหลายๆ คนอย่างแน่นอน

การซื้อบ้านก็เหมือนเป็นการซื้ออนาคต บ้านจะเป็นทั้งที่พักอาศัยที่จะตอบสนองความต้องการในการใช้ชีวิต แต่ก็เป็นภาระผูกพันในระยะยาว ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อบ้านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูล และรายละเอียดต่างๆ ก่อนการตัดสินใจ มาดูกันค่ะว่าก่อนการเลือกซื้อบ้านควรต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

วัตถุประสงค์ในการซื้อบ้าน

            เมื่อต้องการซื้อบ้าน ผู้ซื้อต้องตั้งวัตถุประสงค์ว่าอยากได้บ้านใหม่สักหลังเพราะเหตุผลอะไร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการให้ตรงจุด เช่น

  • คนโสด ต้องการย้ายออกมาจากบ้านของพ่อแม่ อาศัยอยู่คนเดียว ใช้บ้านเพื่อทำงาน Work From Home มองหาบ้านที่มีพื้นที่ไม่ต้องใหญ่มาก อาจจะดูเป็นทาวน์โฮม หรือบ้านแฝด
  • คู่หนุ่มสาวสมัยใหม่ (DINKs:Double Income No Kids) ต้องการใช้ชีวิตคู่อย่างอิสระ ไม่ต้องการมีลูก มองหาบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความเป็นตัวเอง บ้านที่เลือกก็ควรเป็นบ้านที่มีฟังก์ชั่นที่สามารถออกแบบการจัดวางได้อย่างหลากหลาย
  • คู่สามีภรรยา ต้องการซื้อบ้านเพื่อเป็นเรือนหอ มองหาบ้านขนาดกลางถึงใหญ่ เพื่อรองรับการขยายของครอบครัว เมื่อมีลูกในอนาคต ก็ควรเลือกเป็นบ้านเดี่ยว มีเนื้อที่สำหรับการใช้ชีวิตแบบครอบครัว

จะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ของการซื้อบ้านของแต่ละคนจะมีกรอบความต้องการนำไปสู่การเลือกบ้านให้ตรงกับการใช้ชีวิต และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ทำให้รู้ว่าบ้านที่ควรจะซื้อนั้น ต้องเป็นบ้านแบบไหนถึงจะเหมาะสมนั่นเอง

ทำเลที่ตั้งเป็นอย่างไร

ทำเลที่ตั้งของบ้านเป็นประเด็นหลักอันดับต้นๆ ที่จะตอบโจทย์การใช้ชีวิต เพราะการซื้อบ้านหนึ่งหลังนั้นไม่ได้ซื้อเพียงเพื่อเป็นที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่สามารถตอบสนองความสะดวกสบาย ความปลอดภัยในการใช้ชีวิต และการเดินทางสำหรับชีวิตประจำวัน บางคนต้องการทำเลใกล้ที่ทำงานจะได้เดินทางไปได้สะดวกสบาย หรือบางคนอาจเลือกทำเลบ้านไกลที่ทำงานหน่อย แต่มีระบบขนส่งสาธารณะที่สามารถเดินทางไปทำงานได้อย่างสะดวก หรือบางครอบครัวเลือกซื้อบ้านอยู่ใกล้กับโรงเรียนของลูก เป็นต้น

ทั้งนี้ไม่ว่าจะทำเลไหนที่ใครๆ ว่าดี ก็ไม่เท่าทำเลที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณและคนในครอบครัว ได้ดีที่สุดนั่นเอง เมื่อรู้ทำเลที่เหมาะสมแล้วถึงค่อยมาหาว่าในละแวกพื้นที่ตามต้องการนั้นมีโครงการบ้านของที่ไหนบ้างที่น่าสนใจ ที่สำคัญทำเลที่ดีควรอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลายด้วย เช่น ห้างสรรพสินค้า, โรงพยาบาล, โรงเรียน และอื่นๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายนั่นเอง

การออกแบบบ้าน และวัสดุที่ใช้

การเลือกซื้อบ้านสักหลังมักบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัย สะท้อนไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ จะเห็นได้ว่าโครงการบ้านมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ แต่จะมีไม่กี่ที่ ที่จะทำให้รู้สึกประทับใจในครั้งแรกเมื่อเห็น นั่นก็เพราะการออกแบบที่โดดเด่นโดนใจ ตรงกับรสนิยมของผู้ซื้อนั่นเอง

นอกจากนี้การออกแบบที่ดูดีมีสไตล์จะต้องเลือกใช้วัสดุในการสร้างบ้านที่ดีมีคุณภาพ สร้างความภูมิใจให้ผู้อยู่อาศัยว่าเป็นเจ้าของบ้านที่มีความสวยงามและปลอดภัยมั่นคง

งบประมาณและค่าใช้จ่ายต่อเดือน

การเลือกซื้อบ้านผู้ซื้อควรจะประเมินรายรับ รายจ่าย ณ ปัจจุบัน เพื่อกำหนดงบประมาณของตัวเองว่าสามารถผ่อนจ่ายได้แบบสบายๆ ต่อเดือนที่เท่าไหร่ ซึ่งควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายประจำ และเงินเก็บสำรองที่จะไม่ทำฝืดเคือง เพราะการซื้อบ้านถือเป็นค่าใช้จ่ายก้อนโตที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในระยะยาว หรือในกรณีที่มีผู้กู้ร่วม ช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายก็จะทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระเพิ่มขึ้น งบในการซื้อบ้านก็จะเพิ่มตามไปด้วย เมื่อคำนวณงบประมาณเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำให้ทราบว่าสามารถเลือกซื้อบ้านในระดับราคาไหนได้บ้างนั่นเอง

บริการหลังการขาย

การบริการหลังการขายเป็นสิ่งที่ผู้ซื้อทุกคนคาดหวังกับการบริการในกรณีที่เกิดปัญหา และต้องการขอความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อบ้านกับโครงการที่น่าเชื่อถือ เป็นตัวเลือกที่จะทำให้ผู้ซื้อมั่นใจ และเป็นตัวการันตีเรื่องการดูแลหลังการขายได้เป็นอย่างดี
การศึกษาข้อมูลและการวางแผนที่ดีจะทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อบ้านนั้นตรงกับความต้องการได้ดียิ่งขึ้น อารียา พรอพเพอร์ตี้ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้คุณมีบ้านในแบบที่คุณต้องการกับชีวิตที่ลงตัว แล้วมาเป็นครอบครัวเดียวกับเรานะคะ

awsa