Reuse Rethink Reimagine คิดใหม่ ใช้ซ้ำ ไอเดียสร้างสรรค์ฉบับรักษ์โลก

Reuse Rethink Reimagine
คิดใหม่ ใช้ซ้ำ
ไอเดียสร้างสรรค์ฉบับรักษ์โลก

เทรนด์เรื่อง Sustainability อยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลก เรารู้กันดีถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และหลายปีมานี้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ พากันหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อทำให้กิจกรรมของมนุษย์ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยลง และในวงการออกแบบ เหล่าดีไซเนอร์ชั้นแนวหน้าในประเทศอังกฤษ ก็พยามค้นหาวัสดุใหม่ๆ จากการรีไซเคิลสิ่งที่มีอยู่ ทั้งสิ่งทอ แก้ว เซรามิก เปลี่ยนขยะเหลือใช้ให้มีค่าโดยใช้นวัตกรรมมาช่วยในการสร้างสรรค์ออกมาเป็นชิ้นงานที่ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริง




Plastic Baroque
By James Shaw

คอลเลคชั่นนี้เกิดจากไอเดียการนำขยะพลาสติกมาดีไซน์เป็นเฟอร์นิเจอร์และของใช้ ใช้นวัตกรรมคิดค้นปืนในการอัดเม็ดพลาสติกที่เป็นขยะ นำมากลับมาสร้างสรรค์ใหม่ ทำให้สิ่งของไร้ค่ากลายเป็นชิ้นงานที่มีฟังก์ชันและดูเก๋ไก๋แปลกตา มีทั้งช้อนส้อม โคมไฟ และเก้าอี้สำนักงาน

https://jamesmichaelshaw.co.uk/




Beauty in Space
By Aimee Bollu

ผลงานเซรามิคที่เกิดจากการนำวัสดุเหลือใช้ต่างๆ เช่นกระเบื้อง กระดาษ ดิน เครื่องดินเผา มาทดลองออกแบบเป็น ถ้วย จานชาม หรือแก้ว โดยแต่งเติมสีสันและเท็กซ์เจอร์ใหม่ให้ดูน่าสนใจและยังใช้งานได้ ทำให้เรามองของเหลือใช้ในอีกมุมได้อย่างชัดเจน

https://www.aimeebollu.com/




Wall-Hanging
By Lola Lely

แม้กระทั่งเศษผ้าเหลือใช้ก็กลับดูสวยงามและมีความหมาย เมื่อถูกนำมาดีไซน์ด้วยเทคนิคสไตล์ดั้งเดิมของเกาหลีคือ Bojagi ถักทอขึ้นใหม่เป็นงานคราฟท์ประดับบ้านได้อย่างมีสไตล์ นอกจากจะเป็นการนำวัสดุกลับมาใช้แล้วยังเห็นชัดเจนว่าการออกแบบช่วยเพิ่มมูลค่าได้อย่างแท้จริง

http://www.lolalely.com/

#AreeyaHome

awsa

IG. Interior Design สุดปัง! ที่สายแต่งบ้านต้องไปฟอล

IG. Interior Design สุดปัง! ที่สายแต่งบ้านต้องไปฟอล

ช่วงหลังมานี้หลายคนมีโอกาสอยู่บ้านมากกว่าเดิม อาจมีบางวันที่นั่งมองมุมต่างๆ แล้วอยากปรับเปลี่ยน หรือแต่งเติมให้บ้านมีสไตล์และตอบรับการใช้งานมากขึ้น เช่น มุมปลูกต้นไม้ มุมนั่งเล่น มุมดูหนัง นั่งชิลล์จิบกาแฟ อาจจะอยากจัดโซฟาหรือวางของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ เติมเต็มให้บ้านดูน่าอยู่
นั่งนึกไปอาจจะคิดไม่ออก เราเลยรวบรวม Instagram Account ที่คนชอบแต่งบ้านต้องดูไว้เป็นแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะหลงใหลสไตล์ไหนก็จะมีไอเดียมาจัดบ้านให้เป็นตัวเองจริงๆ แล้วจะมีความสุขกับทุกมุมได้ทุกวัน

01
สไตล์ทรอปิคอล ‘บ้านคือที่พักผ่อน’
สำหรับคนอารมณ์ศิลปินที่ชอบบ้านที่มีความทรอปิคอลนิดๆ สีสันป๊อบๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ทริมทะเล ต้องติดตาม 2 Account นี้เลย รับรองว่าจะได้ไอเดียในการมิกซ์แอนด์แมทช์สีสันไปจนถึงการเลือกเฟอร์นิเจอร์หรือของใช้ที่มีลวดลายพื้นถิ่นมาตกแต่งให้ดูมีเรื่องราว รวมทั้งการปลูกต้นไม้ภายในบ้านที่จะทำให้บ้านมีความผ่อนคลายมากขึ้น
https://www.instagram.com/dabito/?utm_source=ig_embed
https://www.instagram.com/justinablakeneyhome/…

02
สไตล์โมเดิร์นวอร์มๆ ‘บ้านคือความอบอุ่น’
ถ้าใครชอบบ้านที่มีความโปร่งโล่ง กระจกเปิดรับแสงธรรมชาติ โทนสีเอิร์ธโทนสว่างสบายตา ดูเรียบง่ายแต่มีความอบอุ่น เน้นโชว์โครงสร้างวัสดุและพื้นผิว มักใช้ไม้ กระจก เหล็กเป็นส่วนประกอบ ไม่เคลือบสีฉูดฉาดมากนัก ลองตามไปหาแรงบันดาลใจกันที่นี่กับสไตล์และสีสันที่คนอยู่อาศัยจะผ่อนคลายและยังยั่งยืนเพราะความเรียบ น้อย ไม่วุ่นวาย ดูแลรักษาได้ง่าย
https://www.instagram.com/the_stables_/?utm_source=ig_embed
03
สไตล์โฮมมี่สบายๆ ‘บ้านง่ายๆ ถ่ายรูปได้สไตล์เกาหลี’
มาดูไอเดียของบ้านที่เราอยากจัดปรับแต่งก็ DIY เองได้ง่ายๆ เรียบแต่น่ารักเหมือนอยู่คาเฟ่ในกรุงโซลจะหาไฟคริสมาสต์มาติดให้ได้ฟีล หรือจะต่อโปรเจคเตอร์เปลี่ยนกำแพงสีขาวเป็นจอนอนดูหนัง ดู Netfilx ในห้องนอนแบบชิลล์ๆ ถ้าใครชอบแนวนี้ นี่คือ Instagram ที่จะสร้างแรงบันดาลใจการแต่งบ้านที่ทำได้เองและอยู่ได้จริงๆ ที่สำคัญคือยังดีไซน์มุมเก๋ๆ เอาไว้ถ่ายรูปเล่นได้อีกด้วย
https://www.instagram.com/ggumigi_styling/

04
สไตล์อิเล็กทริก ‘บ้านนี้หลากหลายมุมไฮไลท์’
Instagram นี้รวบรวมมุมของบ้านแต่ละหลังในรูปแบบที่แตกต่างมีจุดเด่นในตัวเอง เช่น ห้องน้ำที่มีกระเบื้องลายเก๋ ห้องทานอาหารกับเฟอร์นิเจอร์ทรงวินเทจไม่ซ้ำใคร ไฟสั่งทำแบบเฉพาะ การจับคู่สีและปูพรมเล็กๆ น้อยๆ ไอเดียต่างๆ เหมาะสำหรับคนชอบสร้างสรรค์ ถือซะว่าเป็นการเก็บข้อดีของแต่ละห้อง เลือกที่ชอบแล้วมาสนุกไปกับการแต่งบ้านของตัวเอง
https://www.instagram.com/homepolish/?utm_source=ig_embed
05
สไตล์โมโนโทน ‘บ้านเรียบหรู คุมโทน’
สำหรับคนชอบบ้านแบบมินิมัลสไตล์ โทนสีน้อยๆ โล่งโปร่งสบาย ลองดูไอเดียจากดีไซเนอร์ฝั่งสแกนดิเนเวียคนนี้ที่เน้นการแต่งบ้านแบบคุมโทน สีน้อย โล่ง เรียบ ยิ่งมีของไม่เยอะก็ยิ่งทำให้ต้องพิถีพิถันในการเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นเป็นพิเศษ เพราะเมื่อวางเข้าไปแล้ว จะโดดเด่นเหมือนเป็นชิ้นงานศิลปะในแกลเลอรีกันเลยทีเดียว ใครชอบทางนี้ลองตามไปส่องกัน
https://www.instagram.com/annaleena.interiors/…

#AreeyaHome

awsa

Food Delivery ไร้ขยะ

Food Delivery ไร้ขยะ

560 ล้านชิ้นต่อปี คือ ปริมาณขยะจาก Food Delivery ในไทย
1,500 กิโลกรัมต่อวัน คือ ปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นจากอาหารและหน้ากากอนามัย
เฉพาะกรุงเทพในช่วงโควิดที่ผ่านมา เมื่อทุกคนพร้อมใจกันสั่งข้าวไปกินที่บ้าน
สิ่งที่ตามมา คือ ขยะพลาสติกปริมาณมหาศาลที่ใช้เวลาย่อยสลายอย่างต่ำ 200-400 ปี

เมื่อตลาดธุรกิจ Food Delivery กำลังใหญ่ขึ้นทุกวัน ปัญหาขยะจากแพ็กเกจพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single use Plastic) ก็ทวีคูณด้วยเช่นกัน การสั่งอาหาร 1 ออเดอร์พ่วงมาด้วย ถุงหิ้ว x ซองใส่ซอส x ซองใส่ตะเกียบและช้อนส้อม x ถุงใส่น้ำซุป x ถุงใส่ข้าว x ถุงใส่หลอด เบื้องหลังความสะดวกสบายที่อิ่มท้องแบบไม่ต้องล้างจานและไม่ต้องลุกไปที่ร้านนี้ แลกมาด้วยสารพันไอเท็มพลาสติกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กลายเป็นสารพัดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกโดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่มีปัญหาขยะล้นกำลังตั้งคำถามว่า
เราสามารถ Eat at Home อย่างสบายใจ สะดวก และไร้ขยะได้ไหม กระแส Zero Waste หรือ ขยะเหลือศูนย์ ซึ่งเริ่มจากคนนิยมไม่พกหลอด ไม่พกถุง อาจเป็น New Normal มาตรฐานใหม่ในวงการ Food Delivery ด้วยเช่นกัน

แต่การสั่งอาหารแบบไร้ขยะนั้นทำอย่างไรและทำได้จริงไหม ตามมาดูหลากไอเดียจากผู้ประกอบการ ธุรกิจ และเมืองที่ใส่ใจการส่งอาหารแบบรับผิดชอบโลกไปด้วยกัน


Indy Dish x Superlock การร่วมมือกันส่งอาหารด้วยข้าวกล่อง
Indy Dish แอปรวบรวมร้านอาหารเพื่อสุขภาพโดยคนไทย มีความตั้งใจบริการส่งอาหารที่ดีต่อร่างกาย ดีต่อใจ และดีต่อโลกไปพร้อมๆกัน แม้การบริหารจัดการจะยากขึ้นมาก หากใช้ภาชนะที่ไม่เกิดขยะ แต่ผู้ก่อตั้ง Indy Dish คุณดารินเชื่อว่าปัญหาขยะเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ จึงได้ร่วมมือกับ Super Lock แบรนด์กล่องพลาสติกสัญชาติไทยเช่นกัน
ส่งอาหารให้ลูกค้าด้วยภาชนะใช้ซ้ำ โดยเริ่มจากทำแคมเปญ ‘มื้ออร่อยที่ใช้ภาชนะรักษ์โลกได้’ ในปี 2019 ลูกค้าสามารถเลือกบริการ ‘ใส่อาหารในภาชนะรักษ์โลก’ ทำให้ไม่รู้สึกผิดที่สั่งอาหาร Delivery หลายคนที่สั่งอาหารจากข้าวกล่องมักกลับมาสั่งซ้ำ แสดงให้เห็นว่าแม้ในไทยเอง การส่งอาหารแบบไร้ขยะที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป


Trashless Takeaway
ด้วยแรงบันดาลใจจากระบบปิ่นโตของอินเดีย
จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เริ่มจาก เชฟชื่อ Hunter J. Moyes สังเกตว่า คนอินเดียมักสั่งอาหารไปกินที่ทำงานโดยใช้ปิ่นโตในชีวิตประจำวันมานานแล้ว ทำให้อินเดียมีระบบส่งอาหารที่ไม่เกิดขยะพลาสติกอย่างน่าทึ่ง เขาจึงก่อตั้งโปรเจ็คชื่อ Trashless Takeaway ที่แคนาดา ผลิตปิ่นโตแบรนด์ของตัวเองพร้อมสร้างเครือข่ายร้านอาหารท้องถิ่นที่ยินดีรับปิ่นโตรวมทั้งกล่องอาหารใช้ซ้ำ ลูกค้าผู้ใช้ภาชนะรักษ์โลกจะได้ส่วนลดจากการซื้ออาหาร 10% นับเป็นโครงการที่เริ่มจากการช่างสังเกตและสร้างสรรค์ ปัจจุบัน Trashless Takeaway ย้ายไปทำที่เบลเยียมและเปลี่ยนชื่อเป็น Tiffin Belgium


Rise Cafe
กินอาหารแบบไทย ไร้ขยะ
คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก Rise Cafe เป็นร้านอาหาร Delivery ที่ใช้ทั้งปิ่นโต ใบบัว และผลไม้มาบรรจุหีบห่ออาหารในรูปแบบที่น่าประทับใจ เช่น ข้าวห่อใบบัวแบบไทยโบราณ ข้าวสับปะรดที่บรรจุในผลสับปะรดเป็นลูกมัดด้วยเชือกส่งถึงบ้าน นอกจากจะมุ่งรักษาสิ่งแวดล้อมและลดขยะพลาสติกแล้ว
ยังมุ่งคัดสรรวัตถุดิบจากชุมชนและสืบสานวิถีการกินอาหารแบบไทยอีกด้วย
มีบริการ ‘ผูกปิ่นโต’ แพ็คเกจคอร์สส่งอาหารติดกัน 5 วัน 10 มื้อ ใช้ปิ่นโตสีเหลืองเปลือกข้าวโพดซึ่งเป็นงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย ในแต่ละวันจะมีบริการรับปิ่นโตมาทำความสะอาดและส่งคืนให้ใหม่ในวันรุ่งขึ้นพร้อมอาหารมื้อใหม่ จากการเก็บสถิติของทีมงานนั้น มีผู้ใช้บริการปิ่นโตไปถึง 3,000 เถา
ซึ่งช่วยลดการใช้ถุงพลาติกราว 12,000 ใบ คุมมลพิษทางอากาศได้ 6.5 กิโลกรัมและลดการใช้น้ำ 4,920 ลิตร


Living Kafe
กับโมเดลคนส่งนม
อีกหนึ่งร้านอาหารในเครือเดียวกันกับ Rise Cafe ที่รักโลกด้วยการใช้โมเดล Milkman หรือ คนส่งนมผู้ปั่นจักรยานไปส่งนมถึงหน้าบ้านทุกเช้า โมเดลนี้ได้รับความนิยมที่ต่างประเทศในสมัยก่อน แต่กลับเป็นรูปแบบที่อาจหวนกลับมานิยมอีกครั้ง เพราะการปั่นจักยานรวมทั้งใช้ขวดแก้ว Reuse ช่วยลดได้ทั้งพลาสติกและโลกร้อน ขวดแก้วทุกขวดจะถูกนำไปทำความสะอาดและสามารถนำกลับมาใช้ได้อย่างไม่จำกัด ธุรกิจนี้เริ่มทำในเขตพระนครโดยเปลี่ยนจากส่งนมเป็นส่งกาแฟแทนและตั้งชื่อว่า Pranakorn Coffeeman


Green to Go
สร้างระบบให้คนทั้งเมืองสะดวก Reuse
Green to Go จาก Durham ประเทศอังกฤษ ไม่ใช่แอป Food Delivery ทั่วไปที่ให้คนสั่งอาหาร แต่เป็นแอปที่เชิญชวนให้คนทั้งเมืองสมัครสมาชิกเพื่อรับบริการภาชนะใช้ซ้ำ ผู้ที่เสียค่าสมาชิกสามารถเช็คตำแหน่งตู้บริการภาชนะรักษ์โลกตามจุดต่างๆในเมืองจากแอป และสามารถใช้ภาชนะนี้ร่วมกับร้านอาหารกว่า 25 ร้านในเมืองที่ร่วมโครงการ เมื่อใช้เสร็จสามารถคืนภาชนะที่จุด drop-off หรือ ร้านอาหารในเมืองได้
Green to Go จะนำภาชนะไปทำความสะอาดด้วยกระบวนการที่ได้มาตรฐานต่อไป วิธีนี้ช่วยลดภาระของร้านอาหารและทำให้คนทั้งเมืองสะดวกในการลดขยะ
แอปนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาเมืองชื่อ Don’t Waste Durham
ผู้ก่อตั้งโครงการเชื่อว่าโมเดลนี้อาจเป็นต้นแบบให้เมืองอื่นที่อยากผลักดันการลดขยะด้วยเช่นกัน

#AreeyaHome
#SustainableHappiness
#ZeroWaste

ขอบคุณข้อมูลจาก
Cr : bangkokbiznews / business+ / cbc / greenpeace / positioningmag.com / rise cafe / the cloud / ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
Cr Images : indydishthailand / TiffinBelgium / risecafebkk / livingkafe / GreenToGoNC

awsa

The new cafe you must try!

The new cafe you must try!

ขอต้อนรับการกลับมาหลังจากปลดล็อกชีวิตตัวเองแล้ว ไปฮีลร่างกายและจิตใจกันแบบ Keep Social Distancing ที่เหล่า Cafe hopper ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการเที่ยวคาเฟ่ในรูปแบบ New normal ได้


Season Bangkok

ดูเก๋ สะดุดตาตั้งแต่หน้าร้านต้องให้เค้าเลย Season Bangkok คาเฟ่ใหม่ย่านชิคๆ อย่างทองหล่อ ซึ่งกำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในตอนนี้ ต้องตาต้องใจตั้งแต่แรกเห็นเลยจริงๆ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป มีกลิ่นอายของความคลาสสิคอยู่เบาๆ ชนิดที่ยืนโพสต์ท่าเก๋ๆ หน้าร้าน อัพรูปลงไอจี ก็ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ไทยแลนด์ ด้วยการรีโนเวทอาคารหลังเก่าให้กลายเป็นคาเฟ่ฟีลยุโรป ดื่มด่ำกับบรรยากาศสบาย ๆ สามารถนั่งชิลล์ชมทัศนียภาพบริเวณโซนด้านนอกได้ในหลายๆ มุมมอง

ด้วยการพลิกวัสดุธรรมดาๆ อย่าง ‘อิฐเผา’ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่น่าสนใจ เพราะนอกจากจะช่วยทำให้คาเฟ่ดูคลาสสิกแล้ว ยังสามารถถ่ายทอดความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวผ่านการเปลือยของวัสดุได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ เมื่อใช้สัดส่วนของความโค้งเข้ามาช่วยเสริม บรรยากาศโดยรวมของร้านจึงดูนุ่มนวลให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ส่วนภายในใช้โทนสีน้ำเงินเข้ากับเทรนด์สี Pantone ปี 2020 ที่มีความเป็นแฟชั่น การเลือกนำโทนสีขาวและสีครีมมาจับคู่เข้ากับสีน้ำเงิน ก็เพื่อเบลนด์บรรยากาศของร้านให้ดูอบอุ่นขึ้น ด้วยพื้นที่ค่อนข้างจำกัด เฟอร์นิเจอร์ของร้านจึงตั้งใจเลือกสรรให้ออกมาไม่ซ้ำแบบกัน เลือกมุมไหนก็ถ่ายรูปออกมาดีไปหมด เรียกได้ว่าถูกใจเหล่า instagramable ที่สามารถถ่ายรูปได้ทุกพื้นที่ของร้าน

ดูบรรยากาศร้านกันไปแล้ว เรามาเข้าเรื่องของสายกินกันบ้างโดยที่นี่ให้บริการหลากหลายเมนูเครื่องดื่มที่สามารถจับคู่กันกับเมนูเบเกอรีโฮมเมด เราขอแนะนำให้ลอง English Tea Orange Cake เค้กเนื้อเนียนที่มีกลิ่นหอมและรสของชาอังกฤษที่ผสมผสานเข้ากับความหวานของเนื้อส้ม ก่อนจะเทราดด้านบนด้วยน้ำตาลที่เพิ่มรสชาติให้กับเค้กก้อนนี้ได้อย่างดี หรือจะเป็น Salted Eggs Croissant ครัวซองต์โฮมเมดที่สอดไส้ซอสไข่เค็มแบบเน้นๆ ได้รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม สามารถจับคู่ทานกับ Hot Latte ที่ใช้เมล็ดกาแฟเบลนด์จากดอยช้าง ซึ่งทางร้านจะเบลนด์ให้ได้รสชาติกลางๆ ดื่มง่าย ไม่เข้มขมจนเกินไป

พิกัด : ทองหล่อ 13 ซอยต่อศักดิ์
เปิดทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น.
โทร. 06-5602-2446
www.facebook.com/season.bkk


% Arabica

% Arabica แบรนด์กาแฟสัญชาติญี่ปุ่น สัญลักษณ์เท่ ที่หลายคนเข้าใจว่ามันคือสัญลักษณ์เปอร์เซ็นต์ แต่ที่จริงแล้วมันคือ symbol ที่ถูกตัดทอนมาจากก้านและเมล็ดกาแฟ ที่ตอนนี้กำลังขยายสาขาไปแล้วทั่วโลก ได้มาเปิดสาขาแรกในไทยแล้ว กลางห้างไอคอนสยาม ซึ่งถูกออกแบบและตกแต่งด้วยคอนเซ็ปต์แบบเดียวกันกับสาขาอื่นทั่วโลก เน้นโทนสีขาวสว่างและเสริมด้วยไฟนีออน ตัดกับการใช้วัสดุกระจก เพื่อให้ได้มู้ดแอนด์โทนคลีนๆ สบายตา ขับจุดเด่นของร้านได้เป็นอย่างดี อย่างห้องคั่วกาแฟรุ่นใหม่สุดล้ำใจกลางร้าน กระสอบเมล็ดกาแฟที่ถูกตกแต่งไว้ด้านบนรอบๆ ร้าน เป็นการยกระดับสตอรี่ของร้านให้ดูน่าสนใจและโดดเด่นยิ่งขึ้นอีกด้วย กลางร้านมีพื้นที่จัดแบ่งสำหรับตั้งโรงคั่วภายในร้าน โชว์ให้เห็นเครื่องคั่วสุดล้ำ Tornado King สำหรับใครที่ต้องการซื้อเมล็ดกาแฟคั่ว สามารถสั่งซื้อจากหน้าร้านที่สาขาได้เลย

แน่นอนว่าร้านกาแฟ ก็ต้องมีเมนูหลักเป็นกาแฟ ด้วยร้านที่พึ่งเปิดทำการ อาจจะต้องอดใจรอกับบางเมนูที่ยังอยู่ระหว่างการขนส่งระหว่างประเทศอยู่ อาทิ กาแฟดริป แต่หากเป็นกาแฟทั่วไปอย่างอเมริกาโน มอคค่า หรือลาเต้ ก็สามารถสั่งได้เลย สำหรับราคาก็อยู่ในกลุ่มหนึ่งร้อยบาทนิดๆ ไม่ห่างจากกันมากนักในแต่ละประเภท

พิกัด : Iconsiam ชั้น 1 ใกล้กับ Apple Store
ร้าน วันจันทร์ – พฤหัส เวลา 11.00-20.00 น. และวันศุกร์ – อาทิตย์ เวลา 10.00-20.00 น.
https://www.facebook.com/arabica.th


Other Cafe

โชว์ความคลีน ความเรียบเท่ชวนสะดุดตาตั้งแต่หน้าประตูร้านด้วยสไตล์การตกแต่งแบบ Minimal Rustic “Other Cafe” ที่สร้างความแตกต่างให้ซองรางน้ำจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มุมมองผ่านกระจกจะสะท้อนแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศภายในร้านที่แปลกตาด้วยโครงสร้างคอนกรีตบวกบล็อกแก้วใส จึงสามารถรับแสงธรรมชาติที่ส่องเข้ามายังพื้นที่ด้านในได้อย่างงดงาม บริเวณกลางร้านเป็น Slow Bar มาพร้อมการตกแต่งบนเพดานด้วยเส้นสายไฟส่องสว่างที่ขดไปมาเป็น Installation Art ให้ชมกันเพลินๆ ระหว่างรอเครื่องดื่ม และ ‘รองเท้าสนีกเกอร์’ เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ใช้ในการตกแต่งภายในร้าน ซึ่งแต่เดิมพื้นที่นี้เคยเปิดเป็นร้านขายรองเท้าสนีกเกอร์มาก่อนนั่นเอง หลังจากรีโนเวทตัวตึกให้ดูโปร่งโล่ง เพื่อต้อนรับคอกาแฟและคนที่สนใจให้ได้เข้ามาเอ็นจอยกัน บริเวณชั้นวางของจะมีรูปปั้นซีรีส์รองเท้ายอดฮิตวางเรียงรายอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Ultra Boost, Airmax, Jordan, Yeezy หรือ Jack Purcell ฯลฯ

มาถึงที่นี่เราขอแนะนำให้สั่งเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Yeezy (ชื่อเหมือนรองเท้าเลย) เมนูกาแฟที่มีส่วนผสมของช็อกโกแลตและกาแฟเข้มข้น ใส่น้ำมะนาวสด สมุนไพรอัญชันและเพิ่มความหอมด้วยซินนามอน ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มกึ่งค็อกเทลที่มอบความสดชื่นและ อีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ที่เพิ่มความสดชื่นได้ดีไม่แพ้กัน ต้องยกให้กับเมนู Air Max ด้วยแนวคิดจากรองเท้ารุ่นยอดฮิตของ Nike ถูกตีความออกมาแล้วยัดลงแก้วกาแฟสวยๆ ที่มีช็อตกาแฟหอมเข้มข้น ผสมไซรัปส้มยูซุและโทนิคที่มาเพิ่มความซาบซ่า เป็นเมนูที่หากไปถึงที่ร้านแล้วห้ามพลาด ต้องลองสั่งมาดื่มสักแก้ว

พิกัด : ตรงข้ามโรงแรม Bizotel ซอยรางน้ำ
เปิดทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น.
www.facebook.com/othercafe8


GREY RAY Café & More

คาเฟ่ที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์จาก GREY RAY แบรนด์ Stationary ของไทย ตกแต่งสไตล์ Mid-Century Modern ผสมผสานสไตล์ Loft ผนวกกับการตกแต่งร้านด้วยสีเอิร์ธโทนที่มีรูปทรงเรขาคณิตเป็นส่วนประกอบในทุกมุมมอง ตั้งแต่เคาน์เตอร์ Slow Bar ปูนสี่เหลี่ยมที่เพิ่มดีเทลความเป็นลอนคลื่น โดยพื้นที่ทั้งหมดถูกจัดวางด้วยเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ และอาร์มแชร์ฟอร์มสวย พรีเซนต์ความเป็น GREY RAY ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา นอกจากจะเปิดให้แวะเวียนเข้ามาลิ้มลองเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ดับร้อนของทางแบรนด์แล้ว ที่นี่ยังมีบริการสำหรับใครที่กำลังมองหาพื้นที่นั่งสบายๆ รายล้อมด้วยบรรยากาศที่เหมาะแก่การนั่งทำงานแบบชิลล์ๆ อีกด้วย ซึ่งสินค้าทั้งหมดของ GREY RAY ถูกวางโชว์ไว้ให้คนที่เข้ามาใช้พื้นที่ Co-Working Space ได้ทดลองหยิบจับใช้งานจริงและช้อปปิ้งกลับบ้านกัน ยังมีห้อง Private Room ที่ตกแต่งด้วยชุดโซฟาสไตล์เรโทร โดยมีรูปภาพของ Marilyn Monroe สาวงามแห่งยุค 50s-60s ท่ามกลางแสงไฟสีแดงสลัว สำหรับผู้ที่สนใจขอแนะนำให้จองล่วงหน้าก่อนเข้ามาใช้งาน

กรรมวิธีการทำกาแฟ คือ ความโดดเด่นของคาเฟ่แห่งนี้ โดยเลือกใช้การชงเเบบ Slow Bar หรือการชงกาแฟแบบไม่มีเครื่อง Espresso Machine แต่จะใช้กาแฟ Cold Brew หรือการสกัดกาแฟที่ทำด้วยมือเป็นหลัก โดยลูกค้าสามารถนั่งดื่มกาแฟบนเก้าอี้บาร์บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับบาริสต้าไปพลางๆ ได้อีกด้วย เครื่องดื่มกาแฟที่ทางร้านแนะนำก็คือ Mile’s Brew เมนูซิกเนเจอร์ที่มีชื่อเต็มว่า ‘Miles Davis Brew’ ชื่อนักดนตรีเเจ๊สคนโปรดของเจ้าของร้านนั่นเอง เป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันอย่างมากระหว่าง Cold Brew น้ำมะตูมและโป๊ยกั๊ก ให้กลิ่นหอมหวานในสัมผัสแรก ทิ้งท้ายด้วยรสขมเล็กๆ ของสมุนไพรไทย และความหอมกรุ่นของกาแฟที่ยังคงอบอวลอยู่ภายในปากเราราวกับดื่มด่ำเพลงของ Miles Davis เข้าไปเลยทีเดียว

พิกัด : ถนนราชปรารภ พญาไท
เปิด วันอังคาร-ศุกร์ เวลา 10.00-19.00 น และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-18.00 น.
โทร. 08-4680-9591 และ 08-5043-7666
www.facebook.com/greyraycafe


Baker Bricks

สัมผัสความหอมนุ่มหลากหลายเมนูสโคนที่ร้าน Baker Bricks Scone Gallery ที่ยกสูตรต้นตำรับจาก ร้านสโคนชื่อดังจากประเทศไต้หวัน มาเสิร์ฟเป็นที่แรกในไทยแลนด์ ในร้านหลังขนาดกะทัดรัดบนถนนสุขุมวิท 39 ให้เหล่าบรรดาคนรักสโคนได้ลิ้มลองกัน หากได้ลองมานั่งทานสโคนที่เคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ด้านข้างร้าน เราจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสบายๆ บวกกับแสงแดดยามบ่ายที่ส่องผ่านกระจกร้าน ยิ่งทวีคูณความเย้ายวน ชวนให้แวะเข้าไปลิ้มลอง ซึ่งแน่นอนว่าทุกเมนูของทางร้านเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพดี บวกกับกรรมวิธีการอบสูตรพิเศษ จึงได้รสชาติที่กรอบนอกนุ่มใน ไม่เหมือนใคร

เริ่มความอร่อยกันที่เมนูแนะนำอย่าง Plain สโคนรสออริจินัล ให้รสสัมผัสถึงความกรอบและนุ่ม พร้อมกลิ่นหอมละมุนของเนยที่ชัดเจน เสิร์ฟคู่กับครีมสดและแยมบลูเบอร์รีสูตรโฮมเมด หรือสำหรับใครที่ชอบทานบลูเบอร์รี ต้องลอง Blueberry Cream Cheese ที่รังสรรค์ด้วยสูตรเฉพาะ โดยใช้กรรมวิธีการนำครีมชีสมาผสมกับแป้งให้เข้ากันจนได้ที่ ทำให้ได้เนื้อสโคนมีความนิ่มและหอมกลิ่นครีมชีสไปพร้อมๆ กัน ตัดด้วยรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ จากบลูเบอร์รีที่ลงตัว ทานคู่กับเมนู Orange Americano เมนูกาแฟดำผสมน้ำส้มแท้ ให้รสชาติหวานอมเปรี้ยว ที่ตัดกับความขมของกาแฟได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการสร้างความสดชื่นในระหว่างวัน

พิกัด : ซอยสุขุมวิท 39 วัฒนา
เปิด วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 7.00-17.00 น และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.30-17.00 น.
โทร. 08-8626-4244
https://www.facebook.com/bakerbricks.scone

#AreeyaHome

ขอบคุณข้อมูลจาก
Credi t: bkkmenu.com / dsignsomething.com / wongnai.com
Credit Images : eventpop.me / wongnai.com / lookbook.in.th / soimilk.com / wongnai.com / GREY RAY FACEBOOK PAGE

awsa

Eco – Packaging Trends

สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่อย่างเราๆ มีทางเลือกอะไรบ้างที่น่าสนใจเข้ากับไลฟ์สไตล์ และรสนิยมซึ่งแตกต่างกันไปของแต่ละคน เรามาส่องไอเท็มดีไซน์เก๋ๆ กรีนๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศกันเลยค่ะ


SUNBIO ‘พลาสติก’ ที่ไม่ใช่ ‘พลาสติก’

นี่ไม่ใช่ซิงเกิลใหม่ของวง Getsunova แต่เป็นนวัตกรรมสุดล้ำฝีมือคนไทย โดยบริษัททานตะวันอุตสาหกรรมที่สร้างสรรค์แบรนด์บรรจุภัณฑ์น้องใหม่อย่าง “SUNBIO” เพื่อตอบโจทย์คนรักษ์โลก ทั้งนี้บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลอดดูดเครื่องดื่ม ถุงซิป ถุงขยะ ล้วนย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% ภายในระยะเวลา 180 วัน ผ่านวิธีการฝังกลบ และไม่เหลือแม้แต่เศษซากตกค้างให้เป็นที่รำคาญใจ แม้ว่าหน้าตาของผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะคล้ายคลึงกับพลาสติกที่เรามักเห็นตามท้องตลาด แต่คุณรู้มั้ยว่ามันผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ คือ ข้าวโพดหรือมันสำปะหลัง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อทุกชีวิตบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน ทั้งการออกแบบที่มีกิมมิคและมีความหลากหลายเพื่อการใช้งาน นับว่าเป็นทางออกสำหรับยุคไร้พลาสติกที่คุณควรมีติดตัวไว้ รับรองได้ว่าเก๋จนกลายเป็นผู้นำเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมตัวจริงได้ไม่ยาก


“Gracz” ภาชนะเพื่อชีวิตที่ยืนยาว

เกิดขึ้นจากความตั้งใจและเล็งเห็นถึงอันตรายจากบรรจุภัณฑ์ที่ใช้กันอยู่ทั่วไป โดยมีความเสี่ยงที่สารเคมีต่างๆ จะปนเปื้อนมากับอาหารอันมีส่วนก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ จึงมุ่งคิดค้นบรรจุภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ Gracz ผลิตจากเยื่อพืชธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่เยื่อจากไม้ยืนต้นจึงไม่เป็นการทำลายป่า มีผลิตภัณฑ์แตกไลน์ออกมาหลายรูปแบบ อาทิ Gracz Classic บรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อย 100% มีสีขาวนวล เป็นผลิตภัณฑ์รุ่นแรกที่มีให้เลือกกว่า 50 แบบ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในโอกาสที่แตกต่างกัน สำหรับบรรจุอาหารทุกประเภท สามารถเก็บได้ในตู้เย็นและนำมาอุ่นในไมโครเวฟได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนภาชนะ ทำให้สะดวกรวดเร็วเหมาะกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ส่วน Gracz Simple เป็นบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยผสมเยื่อไผ่ มีสีครีมธรรมชาติดูสบายตาน่าใช้ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้ในราคาที่ซื้อหาได้ง่ายขึ้น คุณสมบัติยังคงใกล้เคียงกับของเดิม แต่นำมาอุ่นอาหารในไมโครเวฟได้ในเวลาสั้นลง ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติด้วยการฝังกลบภายใน 6 สัปดาห์


“Peel Saver” กรวยใส่เฟรนช์ฟรายส์จากเปลือกมันฝรั่ง

ไอเดียนี้มาจากนักออกแบบชาวอิตาลีผู้มองเห็นปัญหาจากกระบวนการผลิตเฟรนช์ฟรายส์ ว่าในการผลิตแต่ละครั้ง มักมีเปลือกมันฝรั่งถูกทิ้งจำนวนมาก แถมยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อะไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงปิ๊งไอเดียนำเปลือกมันฝรั่งดังกล่าวมาทำเป็นกรวยใส่เฟรนช์ฟรายส์ เพื่อใช้เสิร์ฟให้กับลูกค้า ด้วยแนวคิด “จากต้นกำเนิดกลับคืนสู่ธรรมชาติ” หรือพูดง่ายๆ ก็คือ นำเปลือกมันฝรั่งกลับไปทำหน้าที่เดิมของมัน คือ การหุ้มห่อเนื้อมันฝรั่งไว้เช่นเดิมนั่นเอง
วิธีการทำก็คือ นำเปลือกมันฝรั่งมาแช่น้ำให้เปื่อย ตากให้แห้ง จากนั้นนำไปขึ้นรูปในแม่พิมพ์ทรงกลม จนได้เป็นเปลือกมันฝรั่งแผ่นบางๆ แล้วจึงนำมาม้วนให้เป็นกรวยเหมือนโคนไอศกรีม แถมตั้งชื่อเก๋ๆ ว่า “Peel Saver” ด้วย เรียกว่านอกจากเป็นการเลือกใช้แพ็กเกจจิ้งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้ง่ายแล้ว ยังช่วยเพิ่มสีสันในการบริโภคได้อีกด้วย


“Soapack” ขวดที่กลายร่างเป็นสบู่เมื่อใช้หมด

ความคิดนี้เป็นของ ‘Mi Zhou’ นักศึกษาปริญญาตรีแห่ง Central Saint Martins กรุงลอนดอน ด้วยการคิดค้นขวดเครื่องแป้งที่ชื่อว่า ‘Soapack’ ซึ่งหล่อขึ้นมาจากสบู่ โดยเขาคิดขึ้นว่าขวดหรือบรรจุภัณฑ์ต่างๆ นั้น โดยส่วนใหญ่เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์จนหมดแล้ว โดยมากก็มักไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อะไร อย่างดีก็นำกลับมารีไซเคิลหรือนำไปใช้ใส่สิ่งของ
ด้วยเหตุนี้เพื่อไม่ให้เป็นขยะและสิ้นเปลืองงบการจัดเก็บ เขาจึงคิดว่าหากขวดหรือบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้วนั้น ต้องสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลยทันที จึงนึกไปถึงสบู่ซึ่งสามารถนำมาขึ้นรูปเป็นขวดรูปแบบต่างๆ ได้ โดยเขาได้ไอเดียมาจากบรรจุภัณฑ์กินได้นั่นเอง จึงได้นำไอเดียมาดัดแปลงใช้กับบรรจุภัณฑ์ใส่แชมพูและสบู่บ้าง โดยเขาไม่ได้คำนึงถึงแค่ประโยชน์การใช้งานเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบรูปทรง สีสันและขวดที่สวยงามด้วย ซึ่งหากใครอยากเก็บเป็นของประดับตกแต่ง ก็เพียงแค่ไม่วางให้โดนน้ำเท่านั้น แต่สุดท้ายไม่ว่ายังไง มันก็สามารถย่อยสลายได้อย่างเกิดประโยชน์ และไม่เหลือขยะทิ้งไว้ให้กับโลก


“FEEDitBAG” ถุงพลาสติกสุดเจ๋ง! ปลูกได้ กินได้

ถุงหูหิ้วของ EDEKA ซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีมากกว่า 4,000 สาขาในประเทศเยอรมนี เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมมาก ซึ่งมีส่วนประกอบจากแป้งข้าวโพด เป็นวัตถุดิบแบบ Bio-Degradable คือย่อยสลายได้ 100% บนตัวถุงฝังเมล็ดพันธุ์ที่นำไปปลูกต่อได้ คุณสามารถใส่เศษอาหารลงในถุง จากนั้นเอาทั้งถุงไปฝังในดินแล้วรดน้ำสม่ำเสมอ เมล็ดพันธุ์ที่อยู่บนถุงตั้งแต่แรกจะเริ่มโตใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา ส่วนตัวถุงจะถูกย่อยสลายหมดเกลี้ยงภายใน 10 สัปดาห์ ซึ่งตอนนี้ EDEKA มี 3 ถุงให้เลือกไปใช้คือ มะเขือเทศ มะเขือยาว และลูกแพร์ และยังมีโครงการให้คนช่วยโหวตถุงรุ่นต่อไปว่าจะเป็นพืชผักอะไรดี โดยเน้นผักสวนครัวเป็นหลัก เรียกว่า FEEDitBAG นอกจากจะทำให้ผู้คนไม่ทิ้งขยะให้เป็นภาระโลกแล้ว ยังให้ประโยชน์กลับคืนสู่ธรรมชาติด้วย และผักที่ปลูกได้ก็กลายเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารให้ผู้ปลูกต่อไป


ขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ Evian ไม่มีฉลากไร้บาร์โค้ด รีไซเคิลได้

น้ำแร่ Evian ได้ทำการออกแบบขวดบรรจุภัณฑ์เพื่อแก้ไขปัญหาการรีไซเคิล และเลิกใช้แผ่นพลาสติกบางๆ ที่บอกข้อมูลของผลิตภัณฑ์ออก เพราะเป็นส่วนที่รีไซเคิลได้ยาก แต่จะเปลี่ยนไปใช้การปั๊มตราโลโก้สินค้า และข้อมูลผลิตภัณฑ์ลงบนเนื้อพลาสติกของขวดแทน โดยตั้งเป้าหมายว่าขวดบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ทั้งหมดต้องทำมาจากวัสดุรีไซเคิล 100% ภายในปี 2025 รวมถึงบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมดต้องสามารถนำไปรีไซเคิลได้ ซึ่งทำให้เกิดการใช้พลาสติกแบบหมุนเวียน ความพยายามของ Evian นับว่ามีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะในขณะนี้มีขวดบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกเพียง 10% เท่านั้นที่ถูกนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ประกอบกับความต้องการใช้ขวดพลาสติกมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การผลิตพลาสติกใหม่อาจไม่เพียงพอกับความต้องการ
แต่ขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่นี้ไม่ได้วางขายตามร้านค้าต่างๆ ทั่วโลก แต่จะวางขายในร้านอาหาร โรงแรม และจุดบริการสาธารณะบางแห่งเท่านั้น เพราะบรรจุภัณฑ์ใหม่นี้ไม่มีบาร์โค้ด จึงยังไม่สามารถวางขายที่ร้านค้าทั่วไปได้

#AreeyaHome
#SustainableHappiness

ขอบคุณข้อมูลจาก
Credit : lifestyle.socialgiver.com / gracz.co.th / creativecitizen.com / smethailandclub.com
Credit Image : cyrilzammit.com / brandinside.asia / dezeen.com / thantawan.com / creativecitizen.com

awsa

WARM WHITE, COOL WHITE & DAYLIGHT

Warm White, Cool White และ Daylight แตกต่างกันอย่างไร

เราใช้แสงไฟในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นจนถึงหลับ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี ไม่ถูกประเภท อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ในระยะยาว ซึ่งจริงๆ แล้วหลักการนั้นมีไม่มาก แถมยังทำตามได้ไม่ยากด้วย ลองมาดูไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
– หลอดไฟ Warm White มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 2,500-3,300 เคลวิน ให้แสงในโทนสีส้มสบายตา และทำให้สีของวัตถุผิดเพี้ยนจากภาพจริง ช่วยให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวล นิยมใช้สร้างบรรยากาศต่างๆ ภายในบ้าน
– หลอดไฟ Cool White มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 4,000 เคลวิน ให้แสงสีขาวสว่างไสวในโทนอุ่น อยู่ในช่วงกึ่งกลางระหว่าง Warm White และ Daylight มอบความรู้สึกทันสมัย โปร่งโล่งสะอาดตา เป็นตัวเลือกกลางๆ ที่ใช้ได้กับแทบทุกพื้นที่
– หลอดไฟ Daylight มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 6,000-6,500 เคลวิน ให้แสงสีขาวในโทนฟ้าสว่าง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุดคล้ายแสงธรรมชาติในตอนกลางวัน ช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า และเหมาะกับสำหรับบริเวณที่ต้องการเห็นรายละเอียดแจ่มชัด เช่น โต๊ะแต่งหน้า โต๊ะทำงานฝีมือ

รูปแบบไฟมีอะไรบ้าง
– Ambient Light / ไฟบริเวณ
ไฟที่ให้แสงสว่างพื้นที่โดยรวมของห้องนั้นๆ เช่น ไฟซาลาเปา ไฟแขวนกลางห้อง
– Accent Light / ไฟส่องเน้น
ไฟที่ช่วยส่งเสริมความสวยงามของพื้นที่ให้เป็นจุดสนใจ เช่น ไฟส่องภาพแขวนผนัง หรืองานศิลปะ
– Task Light / ไฟเฉพาะจุด
ไฟที่ให้แสงสว่างเฉพาะจุด เช่น โคมไฟตั้งโต๊ะ ไฟแขวนเหนือโต๊ะกินข้าว ไฟหัวเตียง
– Concealed Light / ไฟหลืบ
ไฟที่ติดตั้งในตำแหน่งที่เราไม่สามารถมองเห็นหลอดไฟ เพียงแต่ให้แสงสว่างเท่านั้น เช่น ไฟหลืบในผนัง ไฟใต้ตู้เก็บของต่างๆ

แค่จัดแสงให้เหมาะ ห้องก็สวยเริ่ดได้
ทุกวันนี้เราอาจไม่ได้ใช้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งสำหรับวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียว การเลือกใช้แสงไฟจึงไม่จำเป็นต้องเฉพาะเจาะจงว่าห้องเดียวต้องใช้ไฟประเภทเดียว โดยคุณสามารถนำไปมิกซ์แอนด์แมตช์ให้เหมาะกับการใช้งานได้
– ห้องนอน + ห้องทำงาน ห้องนอนส่วนมากมักตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งมีแสงตามธรรมชาติในช่วงเช้า ควรสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายมากที่สุด แนะนำให้ใช้ Cool White ที่ไม่สว่างจ้าเป็นไฟหลัก อาจติดบนเพดานเป็นแบบฝังฝ้า แล้วเสริมด้วย Warm White แบบฝังฝ้าหรือแบบโคมหัวเตียงก็ได้ สามารถลดความวิตกกังวลระหว่างคืนช่วยให้นอนหลับได้สนิท ส่วนบริเวณโต๊ะทำงาน ใช้โคมตั้งโต๊ะที่เป็นหลอด Daylight และพยายามหลีกเลี่ยงการตั้งโต๊ะที่ต้องหันหลังให้ไฟเพดาน เพื่อไม่ให้เกิดเงาสะท้อนเวลาเปิดไฟช่วงกลางคืน
– ห้องนอน + walk-in closet มุมแต่งตัวหรือห้องแต่งตัวในห้องนอน มักเป็นมุมอับ เพราะจะทำช่องเปิดหน้าต่างก็กลัวไม่เป็นส่วนตัว และแสงไฟจากห้องนอนก็ส่องไปไม่ถึง ถ้าคุณมีโอกาสได้ติดตั้งระบบไฟตั้งแต่แรกก็ควรจัดให้เป็นแบบ Daylight สำหรับห้องแต่งตัวไปเลย เพราะเวลาคุณลองชุดหรือแต่งหน้านั้น ต้องอิงกับแสงสว่างที่เป็นแสงธรรมชาติมากที่สุด
– ห้องครัว + ห้องรับแขก หลายคนมีงานอดิเรกคือชอบทำอาหาร เลยชวนเพื่อนๆ มาแฮงก์เอาต์ที่บ้านบ่อยๆ การจัดห้องครัวกึ่ง Open Space ไว้รับแขกด้วยก็สะดวกดี ส่วนครัวที่ใช้ประกอบอาหารสามารถใช้ได้ทั้ง Daylight และ Cool white บางคนใช้ Cool White เฉพาะจุด อย่างใต้เครื่องดูดควันหรือในตู้เก็บของ สำหรับห้องรับแขกและส่วนรับประทานอาหารก็เหมือนกัน แต่ควรเสริมด้วย Warm White เพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นละมุนตามากขึ้น ให้ความรู้สึกสบายๆ เป็นกันเอง แถมยังช่วยให้อาหารดูน่ารับประทานยิ่งขึ้นอีกด้วย
– ห้องน้ำ + แกลเลอรี อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ลองสังเกตดูสิว่าสมัยนี้ห้องน้ำตามคาเฟ่เก๋ๆ มักมีงานศิลปะประดับอยู่ และหลายบ้านก็เริ่มนำทริกนี้มาใช้ สำหรับงานศิลปะนั้นเน้นเรื่องสัมผัสทางสายตา คุณสามารถติดตั้ง Cool White ให้ส่องไปที่ชิ้นงานโดยเฉพาะ ส่วนห้องน้ำก็ใช้แบบ Daylight ได้เลย ควรติดตั้งแบบฝังฝ้าเพดาน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำกระเด็นไปโดนจนไฟช็อต แต่หากต้องการปลดปล่อยอารมณ์ทิ้งกายในอ่างน้ำแบบสปาส่วนตัว หลอดไฟที่เหมาะสมก็คือ Warm White และ Cool White
– ห้องทำงาน + ห้องรับแขก สามารถใช้ Daylight เป็นไฟหลักได้ทั้งสองพื้นที่ ด้วยแสงที่สว่างสดใสและพอเพียงโดยเฉพาะพื้นที่ทำงาน ควรมี Daylight เพิ่มขึ้นอีกหน่อย เพื่อลดอาการปวดกระบอกตาเวลาต้องจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ ทั้งนี้ยังช่วยสร้างสมาธิและกระตุ้นการทำงานได้เป็นอย่างดี ส่วนพื้นที่รับแขกน่าจะมีไฟเสริมเป็น Warm White อย่างโคมตั้งพื้นเด่นๆ สักชิ้น หรือไม่ก็ใช้แบบติดผนังเป็นเซตเก๋ๆ ถือเป็นของตกแต่งกึ่ง Sculpture ไปด้วยในตัว

แสงไฟนอกบ้านควรเลือกอย่างไร
พื้นที่ภายนอกมีปัจจัยเรื่องฝุ่น ควันและฝนเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่ควรคำถึงถึงอันดับแรกคือเรื่องของการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัย จากนั้นต้องเลือกทั้งหลอดไฟและตัวโคมไฟที่เป็นแบบเฉพาะสำหรับใช้ภายนอก ปัจจุบันมีโคมไฟแบบที่กันน้ำ กันแมลง กันฝุ่น ให้เลือกช้อปค่อนข้างเยอะ เช่นเดียวกับประเภทของโทนแสงไฟที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แสงสีขาวจ้าจนแสบตา แต่มีทั้งไฟสร้างบรรยากาศ ไฟส่องสว่างเฉพาะจุด อยู่ที่การเลือกใช้งานตามรสนิยมเจ้าของบ้าน

จะเห็นได้ว่าการเลือกโทนสีหลอดไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานนั้น นอกจากจะช่วยสร้างอารมณ์ความรู้สึกให้แก่ผู้พักอาศัยแล้ว ยังเป็นวิธีตกแต่งบ้านในยามค่ำคืนให้ดูสวยมีสไตล์ โดยไม่จำเป็นต้องเสียงบประมาณไปกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆ การซื้อหลอดไฟนั้นคุณสามารถสังเกตได้จากข้อความบนกล่องผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะระบุว่าหลอดไฟเป็นโทนสีแบบใดอย่างชัดเจน เพื่อให้คุณเลือกใช้งานได้อย่างตรงจุด

Credit : naibann.com / wemall.com / thestandard.co

#AreeyaHome
#HomeTips

awsa

ส่องเทรนด์ “ต้นไม้ฟอร์มสวย” พร้อมการดูแล

ส่องเทรนด์ “ต้นไม้ฟอร์มสวย” พร้อมการดูแล


– Heliconaia Striata

นับเป็นพันธุ์ไม้หน้าใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ “กล้วยด่างฟลอริดา” เพราะเดี๋ยวนี้อะไรที่เป็นด่างไม่มีคำว่าถูก แถมยังสวยอีกด้วย ลักษณะภายนอกเหมือนกล้วยบ้านเรา ต่างกันตรงที่ใบและลำต้นจะมีสีด่างขึ้นเป็นลายริ้วๆ น่ามอง ให้ผลเหมือนกัน แต่กล้วยพันธุ์นี้รสชาติเหมือนกล้วยไข่อมเปรี้ยว จึงไม่ค่อยมีใครนำมากินเท่าไร หลายคนนิยมนำมาปลูกไว้ในบ้าน นับเป็นประสบการณ์ใหม่ที่นำต้นกล้วยเข้ามาประดับในบ้านได้
การดูแลรักษา
กล้วยเป็นพืชที่ต้องการสารอาหารมากเป็นพิเศษ ยิ่งใครอยากชิมผลด้วย ยิ่งต้องได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ให้ขาดทั้งแสงแดด น้ำและปุ๋ย แนะนำให้ปลูกลงดินให้ต้นแข็งแรงก่อนที่จะนำเข้าบ้าน


– Philodendron Pink Princess

ต้องยอมรับว่า Pink Princess ต้นไม้ใบด่างสีเงาดำเหลือบชมพูที่แต่เดิมเคยมีราคาแค่ไม่กี่ร้อย แต่หลังจากต้นไม้นี้อวดโฉมผ่านอินสตาแกรมของญาญ่า อุรัสยา ก็ทำให้ราคาของน้องพิงก์พุ่งไปไกลจนถึงหลักพัน ด้วยความที่เป็นไม้เลื้อยปลูกง่าย แตกกิ่งก้านสาขาไว ส่วนความตื่นเต้นของการปลูกนั้นอยู่ที่การลุ้นสีชมพูอ่อนๆ เวลาแตกยอด ว่าใบใหม่จะออกมามีชมพูในรูปแบบไหนนี่แหละ
การดูแลรักษา
ไม่ชอบแสงแดดจัด สามารถวางไว้ในที่แสงส่องผ่านรำไร แสงแดด น้ำ ดินร่วนและอากาศถ่ายเท เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพืชตระกูลไม้เลื้อย แต่ระวังอย่าให้ความชื้นมากจนเกินไป อาจทำให้รากเน่าได้ วัสดุปลูกจึงควรระบายน้ำได้ดี สามารถเช็คได้โดยการจิ้มนิ้วลงไปในดิน ตลอดจนใส่ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ


– Ficus Elastica

“ยางอินเดีย” พืชอีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ ต้นไม้ทรงสูงใบเรียวยาวแหลมรอบทิศทางสีเขียวเข้มไปจนถึงดำ มียอดปลายแหลมสีชมพู มีทั้งพันธุ์ด่าง ใบแคระ ใบแดงและใบดำ คนนิยมนำมาปลูกในบ้านเพราะไม่ชอบแสงแดดจัด รวมทั้งยังใช้ฟอกอากาศได้ด้วย ปลูกง่ายด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและปักชำ แนะนำให้เลือกต้นที่เพาะเมล็ด เพราะรากจะมีความแข็งแรงมากกว่า
การดูแลรักษา
ยางอินเดียค่อนข้างชอบน้ำ สังเกตได้จากเวลาใบเริ่มตก แสดงว่าอาจโดนแดดมากเกินไปหรือรดน้ำไม่พอ ทางที่ดีควรตั้งไว้ในจุดที่มีอากาศถ่ายเท รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หรือหากมีเวลาว่างแนะนำให้เอาไปตั้งรับแดดยามเช้าบ้าง


– Monstera

พืชที่เรามักเห็นตามหนังสือแต่งบ้านหรือจาก Pinterest ด้วยลักษณะใบแฉกขนาดใหญ่แตกออกมาเป็นกอมากมาย มีหลายสายพันธุ์มาก เช่น Monstera Giant มีใบขนาดใหญ่ รอยฉีกและรูวงกลมบนใบเยอะกว่า Monstera ปกติทั่วไป วัสดุที่นำมาใช้ปลูกส่วนมากจะเป็นกาบมะพร้าวสับ จึงมักเรียก Monstera ว่าเป็นพืชรากอากาศ เพราะอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยดิน
การดูแลรักษา
เป็นพืชเลี้ยงง่ายเรียกได้ว่ามือใหม่ก็ยังรอด เลี้ยงได้ทั้งในดินและน้ำ ไม่ต้องการแสงแดดจัด ชอบความชื้นแต่ไม่แฉะ จึงไม่ควรรดน้ำจนขังอยู่ในกระถาง กาบมะพร้าวสับจะช่วยระบายน้ำและเก็บความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี รดน้ำแค่อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง แต่สามารถใช้ฟ็อกกี้ฉีดเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบในวันที่อากาศร้อนได้


– Red Butterfly Wing

ไม้ประดับสีม่วงแดงซึ่งมีรูปใบไม่เหมือนใครพร้อมดอกเล็กๆ สีขาวอมชมพูน่ารักๆ หรือที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างในชื่อของ ‘ผีเสื้อราตรี’ หรือ ‘ปีกผีเสื้อ’ ด้วยใบที่มีลักษณะเหมือนผีเสื้อกำลังโบยบิน ทำให้ต้นไม้นี้ดูมีเสน่ห์ ดึงดูดใจคนรักต้นไม้ได้ไม่ยาก และนับว่ามีฟอร์มที่สวยเก๋น่าสะสมทีเดียว
การดูแลรักษา
เป็นไม้ล้มลุกที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ที่แสงแดดไม่จ้ามาก ดูแลได้ง่าย ปลูกทิ้งๆ ขว้างๆ ก็ยังงามได้ แต่หากต้องการให้ออกดอกเยอะๆ และบานพร้อมๆ กัน ก็ควรจะเด็ดยอดเมื่อต้นสูงประมาณ 6 นิ้ว หรืออาจเด็ดหลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ จะทำให้ต้นแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มที่ใหญ่ขึ้น ต้องการน้ำปานกลาง อย่ารดน้ำให้แฉะเกินไปเพราะจะทำให้เหง้าเน่าได้ ใส่ปุ๋ยเท่าที่จำเป็นโดยใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักจะช่วยทำให้ดินร่วนซุย


– Euphorbia Tirucalli

“พญาไร้ใบ” ต้นไม้สายฮิปที่โดดเด่นด้วยลักษณะลำต้นเล็กๆ อวบน้ำ เส้นสายแบบมินิมัลสะดุดตา มีกิ่งแผ่ออกไปรอบทิศทางคล้ายปะการัง แม้จะชื่อว่าพญาไร้ใบ แต่ก็มีใบและออกดอกให้เห็น เป็นต้นไม้ที่มีสรรพคุณเยอะมาก ใช้ได้ตั้งแต่ราก ลำต้น ใบ ไปจนถึงยางจากต้นไม้ แต่ระมัดระวังการสัมผัสยางโดยตรงเพราะอาจระคายเคืองได้
การดูแลรักษา
เป็นไม้กลางแจ้ง ทนแสงแดดได้ดี สามารถนำไปปลูกในบ้านที่มีแสงรำไรได้ นอกจากนี้ยังเป็นไม้อวบน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องรดน้ำทุกวัน รดน้ำเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์


– Watermelon Peperomia

อีกหนึ่งต้นไม้ลายแปลกตาต้องยกให้กับ Watermalon Peperomia หรือ ‘ต้นกระสัง’ เหมาะอย่างมากกับการปลูกไว้ภายในบ้าน เพราะไม่มียางพิษและไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง พืชตระกูลนี้มีทั้งหมดกว่า 1,000 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมปลูก ซึ่งโดดเด่นด้วยลวดลายของใบสีขาวเขียว(ลายแตงโม) และช่อที่มีทรงสวยงามนั่นเอง เมื่อเลี้ยงให้ใบใหญ่ก็จะยิ่งเห็นลายที่เป็นมันเงางามชัดเจน
การดูแลรักษา
แม้จะเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน แต่ก็ไม่ชอบแดดจัดสักเท่าไหร่ ควรนำมาปลูกไว้ในที่แดดรำไรจะเหมาะกว่า รดน้ำเพียงเล็กน้อยวันละครั้งหรือเมื่อวัสดุในกระถางเริ่มแห้ง ไม่ควรรดบ่อยหรือจนแฉะมากไปจะทำให้ต้นเน่าได้ ดังนั้นวัสดุที่ปลูกจึงต้องระบายน้ำได้ดี และควรเลือกใช้กระถางให้เหมาะสมกับขนาดของต้น เพื่อให้เติบโตมีใบสวยงาม


– Fishbone Cactus

“เห็นหน้าตาแบบนี้แต่ฉันคือกระบองเพชรนะ” ต้นไม้ฟอร์มน่ารักหยึกหยักอย่าง Fishbone Cactus หรือ ‘ต้นกระบองเพชรก้างปลา’ ที่มองแล้วอารมณ์ดีด้วยรูปทรงเกลียวโค้งคล้ายกระดูกส่วนกลางของตัวปลา แล้วยังสามารถออกดอกสีชมพูอ่อนๆ เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลกระบองเพชรที่เบ่งบานในตอนกลางคืน
การดูแลรักษา
เป็นไม้อิงอาศัยเช่นเดียวกับกล้วยไม้ การปลูกและดูแลก็แบบเดียวกับกล้วยไม้ หรือจะเอาไปเกาะกับไม้ยืนต้นก็ได้ แม้จะเจริญเติบโตในแสงรำไร แต่สามารถทนต่อแสงแดดจ้า การรดน้ำที่ถูกต้องคือต้องรดให้ชุ่มถึงรากและรดครั้งต่อไปเมื่อดินเริ่มแห้ง ระวังอย่าให้น้ำขังหรือดินแฉะเพราะอาจเน่าหรือเป็นโรคตายได้


– Sea Grape

ด้วยฟอร์มที่แตกกิ่งมีใบกลมออกเรียงสลับกันทำให้เป็นทรงพุ่มดูมีระเบียบ ‘ต้นองุ่นทะเล’ สามารถตัดแต่งให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีดอกสีขาวกลิ่นหอม แถมมีผลเป็นพวงสวยที่สามารถรับประทานสดๆ ได้ นิยมนำมาทำแยม เยลลี่หรือหมักเป็นไวน์ และมาพร้อมคุณประโยชน์ที่หลากหลายต่อสุขภาพด้วย
การดูแลรักษา
ถือเป็นไม้ยืนต้นที่ทนต่อทุกสภาพอากาศ ปลูกได้ทั้งในบริเวณที่ร่มรื่นและในบริเวณที่มีอากาศร้อนจัดสามารถปลูกในดินได้หลายแบบ (ทนแล้งทนดินเค็ม) ชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะจึงต้องการน้ำน้อย

awsa

No Eave House Style


หลังคาลาดเอียงไม่ได้เป็นเรื่องใหม่สำหรับการออกแบบบ้านในไทย เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ร้อนชื้นและฝนตกชุก บ้านในไทยจึงนิยมออกแบบให้มีองศาลาดชันมากเป็นพิเศษตั้งแต่ยุคเรือนไทยมาแล้ว เพื่อให้หลังคาบ้านทำหน้าที่ป้องกันความร้อนและระบายน้ำฝนได้ดี คนไทยจึงนิยมสร้างบ้านด้วยหลังคาทรงจั่ว ปั้นหยา มะนิลา แต่หากใครรู้สึกว่าบ้านแบบเดิมๆ ดูจำเจไม่ทันสมัย ไม่เข้ากับบริบทแวดล้อมในสังคมเมืองทุกวันนี้ เรามีทางเลือกที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

“Modern Pitched Roof” ชูจุดเด่นตอบโจทย์การอยู่อาศัย
ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมวัสดุที่พัฒนามากขึ้น ได้เอื้อให้การสร้างบ้านรูปลักษณ์ใหม่ๆ อย่างบ้านหลังคาทรงสูงแต่มีหน้าตาทันสมัยหรือรูปแบบบ้านแบบ “Modern Pitched Roof” ที่เกิดจากการประยุกต์บ้านสไตล์โมเดิร์นแบบตะวันตกมาใช้ โดยปรับหลังคาให้มีลักษณะทรงสูงขึ้น องศาลาดเอียงขึ้นเพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศในเมืองไทย ทั้งนี้สามารถดีไซน์ให้มีความสูงต่ำลดหลั่นกันไปตามรสนิยมของเจ้าของบ้าน พร้อมเผยลูกเล่นได้อย่างน่าสนใจ
1. พื้นที่ใต้โถงหลังคาช่วยให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียน
หลังคาทรงสูงมักจะมีพื้นที่ว่างใต้โถงหลังคา โดยอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นไปอยู่บริเวณนี้ หากมีการติดตั้งช่องระบายอากาศหรือช่องลมร่วมด้วย ยิ่งจะช่วยให้มวลอากาศดังกล่าวระบายออกจากตัวบ้านได้ดีขึ้น และดึงให้อากาศใหม่เข้ามาแทนที่ ทำให้บ้านมีอุณหภูมิที่ลดลง อากาศหมุนเวียนและปลอดโปร่ง
2. องศาลาดเอียงช่วยลดการสัมผัสกับรังสีความร้อน
หลังคาลาดเอียงช่วยให้ผิวกระเบื้องลดการสัมผัสกับแสงแดด ส่งผลให้รังสีความร้อนกระทบลงมาบนผืนหลังคาได้ไม่เต็มร้อย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นสบายกว่าหลังคาแบบองศาต่ำ
3. เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำฝน
องศาลาดชันมีข้อดีคือช่วยระบายน้ำฝนในเวลาฝนตกได้อย่างรวดเร็ว สามารถติดตั้งร่วมกับอุปกรณ์ป้องกันการรั่วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการรั่วซึม นอกจากนี้ อาจออกแบบหลังคาให้มีชายคายื่นยาวออกไปจะช่วยป้องกันฝนสาดได้ดียิ่งขึ้น

ต่อยอดสู่บ้านสไตล์ “No Eave” สถาปัตยกรรมสุดเฉียบ
และมากไปกว่านั้น เช่นเดียวกับรูปลักษณ์บ้านไร้ชายคา ซึ่งเรียกกันว่าบ้านสไตล์ “No Eve” ที่เน้นการโชว์หลังคาทรงจั่วสามเหลี่ยมที่ลาดลงมาเป็นส่วนเดียวกับผนังโดยไร้ชายคาคั่น ซึ่งก็ตามแต่ว่าจะออกแบบให้ลาดชันเท่าใด แน่นอนว่าความลาดชันย่อมมีผลต่อคุณสมบัติในการอยู่อาศัย หรือจะเรียกว่านำข้อดีของบ้านแบบ “Modern Pitched Roof” มาเสริมและปรุงแต่งให้เกิดรูปแบบใหม่ ที่สร้างแรงบันดาลใจและความแปลกตาให้กับงานหลังคาได้อย่างน่าทึ่ง จึงเป็นบ้านที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะดูเรียบง่ายโปร่งโล่งทว่าเฉียบเนี้ยบ รูปทรงบ้านเช่นที่ว่านี้ โดดเด่นและเตะตามากกว่าบ้านหลังคาจั่วทั่วไป ซึ่งมาจากแนวคิดการลดทอนองค์ประกอบที่เป็นส่วนเกินของบ้านออก ทำให้ตัวบ้านได้แสดงรูปลักษณ์เรขาคณิตอย่างตรงไปตรงมา หรือเรียกว่าได้ว่าเป็นความสวยงามน่าดึงดูดแบบ “มินิมอล” นั่นเอง เมื่อภาพลักษณ์ภายนอกเด่นชัด สเปซภายในก็ถูกออกแบบให้สอดคล้องไปกับภาพลักษณ์ภายนอก เช่น การนิยมทำฝ้าภายในให้ลาดเอียงไปในองศาเดียวกับหลังคา นอกจากทำให้สเปซสามารถสะท้อนตัวตนของบ้านแล้ว ยังทำให้พื้นที่ภายในโปร่งโล่งและอยู่สบายขึ้นจากฝ้าเพดานสูงอีกด้วย แถมปัจจุบันยังมีวัสดุที่ตอบโจทย์และรองรับสภาพอากาศให้คุณได้อยู่อาศัยแบบไร้กังวลกับปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา

รูปแบบและแนวทางการเลือกใช้วัสดุ
บ้านแบบ “No Eave” นิยมออกแบบในหลากหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับรูปทรง สเปซ และวัสดุที่เลือกใช้ แนวทางหนึ่งคือออกแบบในสไตล์อบอุ่น โดยลดความชัดเจนของรูปทรงที่ทำให้รู้สึกแข็งกระด้าง และสร้างสเปซให้กว้างขวางรวมไปถึงการใช้วัสดุธรรมชาติ หรือวัสดุที่ให้อารมณ์อบอุ่นแบบตะวันออกก็จะช่วยทำให้บ้านดูผ่อนคลายได้เช่นเดียวกัน หรือในอีกสไตล์ คือการย้อนกลับไปที่ความเรียบง่ายเป็นสำคัญ โดยเน้นใช้วัสดุที่มีเนื้อสัมผัสเรียบเนียนกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวบ้าน
ในขณะเดียวกันการแสดงออกถึงรูปลักษณ์ที่ชัดเจนทำให้บ้านแบบ “No Eave” มีภูมิทัศน์ที่โฉบเฉี่ยวสวยล้ำ อย่างบ้านที่มีรูปทรงแปลกตาหรือมีสเปซอันซับซ้อน การเลือกใช้วัสดุจึงควรสอดคล้องและส่งเสริมความล้ำสมัย อาทิ เช่น การเลือกใช้หลังคาคอนกรีตหรือหลังคากระเบื้องรุ่นใหม่ๆ ที่มีดีไซน์คมกริบในทุกองศา มีเส้นสายเรียบตรงและมีโทนสีต่างๆ ที่เข้ากับตัวบ้าน สามารถติดตั้งกับโครงหลังคาแบบลาดชันได้เป็นอย่างดี กับนวัตกรรมที่ช่วยสะท้อนและป้องกันความร้อนให้กับตัวบ้าน ซึ่งจะลดการทำงานของแอร์ได้ถึง 25% ทีเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องน่ารู้ส่วนหนึ่งของบ้านแบบ “Modern Pitched Roof” และ “No Eave” ที่นับเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ซึ่งกำลังมาแรงตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ได้ในหลากหลายแง่มุม

Credit : dsignsomething.com / banidea.com / scgbuildingmaterials.com
Credit Images : casalibrary.com (River Retreat by Edwards White Architects)

#AreeyaHome
#ArtandDesign

awsa

“Como Bianca Bangna” Neighborhood

ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์มอลล์ Mixed-Use ระดับพันล้าน

– Siam Premium Outlets
ต้อนรับ Destination ใหม่ล่าสุดของนักช้อปบนพื้นที่กว่า 50,000 ตารางเมตร ที่วาง position เป็น “พรีเมี่ยมเอาท์เล็ต” ตัวจริงแห่งแรกในไทย ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ ความโดดเด่นของโครงการนี้นอกจากเป็นการจับมือกันของ 2 ผู้นำแห่งวงการค้าปลีกระดับโลกอย่าง “สยามพิวรรธน์” กับ “ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” รวมไปถึงพรีเมี่ยมเอาท์เล็ตระดับแนวหน้าของโลก ไม่ว่าจะเป็น WOODBURY COMMON PREMIUM OUTLETS นิวยอร์ก, GOTEMBA PREMIUM OUTLETS ญี่ปุ่น, YEOJU PREMIUM OUTLETS เกาหลีใต้ และ JOHOR PREMIUM OUTLETS มาเลเซีย โดยในช่วง Grand Opening ยังเปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์พรีเมี่ยมเอาท์เล็ตอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยการเสนอสินค้าที่มีส่วนลดราคาสูงสุดกว่า 90% ให้ได้เลือกช้อปกันอย่างสุดเหวี่ยง
ทั้งนี้คุณสามารถแวะพักผ่อนระหว่างการช้อปปิ้งได้ที่ VIP Lounge ในพื้นที่รับรองสำหรับ VIP Member, Currency Exchange รวมทั้ง Indoor and outdoor Kids Playground ที่เด็กๆ สามารถได้เล่นสนุกระหว่างรอผู้ปกครองช้อปปิ้ง Siam Premium Outlets มีร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำทั้งไทยและเทศไว้ให้บริการ เช่น Starbucks, Shu Shi Plus และ Food Republic บนพื้นที่กว่า 1,200 ตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการอย่างครบครัน อย่าง Free Wi-Fi Spot ให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ พร้อมเดินทางสะดวกสบายโดยไม่ต้องพึ่งรถส่วนตัวด้วย Shuttle Bus ฟรีจากหลายเส้นทาง อาทิ Airport Rail Link สถานนี้มักกะสัน
การเปิดตัวครั้งนี้จึงนับเป็นการพลิกโฉมและเพิ่มอุณหภูมิให้กับการแข่งขันในธุรกิจรีเทลให้ร้อนแรงขึ้นไปอีก

– Mega City Bangna โครงการต่อยอดจาก Mega Bangna
ศูนย์รวมแห่งประสบการณ์หลากรูปแบบ บนพื้นที่รวม 400 ไร่ นอกจากจะมีศูนย์การค้าที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังรวมที่พักอาศัย โรงแรม ออฟฟิศ โรงเรียนนานาชาติและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ สามารถรองรับผู้ใช้บริการได้มากกว่า 250,000 คนต่อวัน ตามรูปแบบการพัฒนาแบบยั่งยืนในระดับเมือง จะเรียกว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คของบางนาก็ว่าได้
เส้นทางการพัฒนาสู่การเป็น “เมกาซิตี้” ให้สมบูรณ์ครบทุกองค์ประกอบตามแผนที่กำหนดไว้ จะใช้เวลาภายใน 14 ปี (นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป) โดยเริ่มดำเนินการเฟสแรก ด้วยการสร้างส่วนต่อขยาย “Mega Food Walk” พร้อมด้วยซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เพิ่มร้านอาหารใหม่เข้าไปอีก 29 ร้าน ทำให้ทั้งโครงการมีร้านอาหารโดยรวม 166 ร้าน และ “อาคารจอดรถ 7 ชั้น” ทำให้ปัจจุบันทั้งโครงการมีพื้นที่จอดรถรองรับได้ 10,000 คัน

– Central Village Luxury Outlet
อีกหนึ่งโครงการในย่านบางนาที่เพิ่งเปิดตัวไปด้วยกระแสตอบรับที่ฮือฮา ลักชัวรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกในประเทศไทย บนพื้นที่ 40,000 ตร.ม. ภายในเป็นสถาปัตยกรรมไทยโมเดิร์น แบ่งโซนเป็นหมู่บ้านจำลอง มีร้านค้าร้านอาหารโดยฝีมือคนไทย และเต็มไปด้วยช้อปปิ้งสโตร์จากแบรนด์ระดับโลกตั้งอยู่ในอาคารทรงไทยประยุกต์ ด้วยการผสานจุดแข็งด้านความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำการพัฒนาโครงการรีเทลระดับภูมิภาค ผนวกกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ดังระดับโลกรวมกว่า 130 ร้าน พร้อมการบริการหลากหลายครบวงจร และที่พิเศษกว่านั้นคือ มากกว่า 50% เป็นแบรนด์ที่เข้ามาเปิดเอาท์เล็ตในประเทศไทยเป็นครั้งแรก (First Time Outlet Shop) และมีอีกกว่า 60 แบรนด์ ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store เฉพาะที่นี้เพียงที่เดียวเท่านั้น เอาใจสายช้อปให้ได้เลือกซื้อสินค้าอย่างจุใจ สบายกระเป๋าในราคาลด 35-70% ทุกวัน ลักษณะอาคารของ Central Village จะเป็นอาคารชั้นเดียวหลายๆ อาคารมาอยู่รวมกัน และทางเดินจะเป็นลักษณะโอเพ่นแอร์ ถึงจะกลางแจ้งแต่ไม่ต้องห่วงร้อน เพราะที่นี่มีต้นไม้ปกคลุมทั้งโครงการ แถมยังมีจุดเช็คอินหลากหลายโซนไว้เซลฟี่สวยๆ มาโชว์กับเพื่อนๆ อีกด้วย

– Mega Park จุดนัดพบสีเขียวที่ Mega Bangna
เหล่าลูกบ้าน “Como Bianca Bangna” ไม่ควรพลาดเพราะจะหลุดคอนเซปต์ “Minimal Eco Living” ได้นะคะ สวนสาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจขนาดย่อมบนพื้นที่กว่า 7 ไร่ เป็นพื้นที่สีเขียวและปอดของชาวบางนา โดยมีการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ได้อย่างสนุกสนานน่าสนใจตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชัน เพื่อสร้างสังคมและสุขภาพที่ดี ทั้งการออกกำลังกาย พักผ่อนและกิจกรรมสันทนาการครบวงจร สนุกสนานไปกับสนามเด็กเล่น พร้อมเครื่องเล่นสำหรับเด็กที่มีมาตรฐานปลอดภัย เส้นทางวิ่งออกกำลังกายและปั่นจักรยาน ด้วยบรรยากาศสุดร่มรื่นสำหรับคนรักสุขภาพ และยังเปิดให้เป็นพื้นที่พักผ่อนสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาร่วมกิจกรรมต่างๆ กับเจ้าของได้ บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาใช้บริการได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ มาแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความสุขและเติมเต็มประสบการณ์ในทุกไลฟ์สไตล์สำหรับทุกคนในครอบครัวกันค่ะ

Credit : brandbuffet.in.th/marketingoops.com /
Credit Images : marketeeronline.co/siampremiumoutlets.com / thestandard.co/wealthythai.com / thinkofliving.com / citycracker.co/ khaosod.co.th/wisont.wordpress.com / readthecloud.co/

awsa

รวมพิกัดร้าน Refill รักษ์โลกทั่วไทย

เทรนด์ร้านแนว Refill Station นั้นเติบโตอย่างรวดเร็วไปพร้อมๆ กับวิถีชีวิตแบบ Zero Waste ที่ไม่ต้องการสร้างขยะใหม่ๆ และหมุนเวียนนำทรัพยากรกลับมาใช้อีกครั้งอย่างคุ้มค่า นอกจากการลดขยะพลาสติก Single Use ในชีวิตประจำวันแล้ว วิธีจัดการขยะชิ้นใหญ่อย่างเหล่าบรรจุภัณฑ์จากสิ่งของเครื่องใช้ในบ้านทั้งหลายก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งไอเดียการลดขยะประเภทนี้ทำให้เกิดร้านค้ากรีนๆ จนกลายเป็นคำติดปากที่หลายคนเรียกว่า Bulk Store หรือร้านค้าแบบเติม ที่ให้เราสามารถนำขวดบรรจุภัณฑ์เก่ามาเติมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ ถึงแม้ Bulk Store ยังคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็เริ่มเเพร่หลายในเมืองไทยแล้ว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีนับสิบร้าน ซึ่งจะมีร้านอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง เราได้รวบรวมมาให้ลองเลือกใช้บริการกันค่ะ


Refill Station
ร้านรีฟิลต้นแบบร้านนี้คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก หลายๆ คนน่าจะรู้จักกันดี แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ Refill Station คือ Bulk Store ร้านแรกที่ทดลองโปรเจกต์ร้านค้าแบบเติมกันมาตั้งแต่ตั้งขายสินค้าแบบรีฟิลกันตามตลาด จนมีหน้าร้านที่นอกจากจะแบ่งขายน้ำยาต่างๆ แล้วยังมีสินค้าทางเลือกอื่นๆ สำหรับการลดใช้พลาสติกจำหน่ายด้วย ซึ่งแนวคิดของ Refill Station นั้นได้สร้างแรงบันดาลใจและทำให้หลายๆ คนมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะสร้างร้าน Bulk Store ในไทย จนเราเริ่มเห็นร้านค้าแนวคิดเดียวกันเพิ่มขึ้นมากมายในปัจจุบัน
นอกจากร้านหลักที่ Better Moon x Refill Station แล้ว ยังมีหลายร้านค้าพันธมิตรที่ร่วมมือกับ Refill Station นำผลิตภัณฑ์ สินค้าและการบริการในรูปแบบเดียวกันไปดำเนินการในร้านของตน ได้แก่ URBIE Social Space – TU Rangsit, OC Organic Shop, Inceemondee organic store & cafe และร้านสวนชั้น 1 ‘it’s going green’
พิกัด : ซอยสุขุมวิท 77/1 อ่อนนุช


Grasstonomy
ร้านกาแฟสีเขียวร้านนี้นอกจากจะเป็นคาเฟ่สุดน่ารักสไตล์ญี่ปุ่นที่เสิร์ฟเครื่องดื่มจากวัตถุดิบออร์แกนิกแล้ว ทางร้าน Grasstonomy ยังมีมุม Bulk Store เล็กๆ สำหรับให้ลูกค้ามาเติมผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัวอย่างแชมพู ครีมนวดผมและเจลอาบน้ำจากแบรนด์ออร์แกนิกอย่างใบว่าน พระนครทำเล่น และ Conscious Living มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกสรร หากลูกค้าไม่ได้นำขวดมาเองก็มีขวดพลาสติกพร้อมที่ปั๊มขายให้นำกลับมาเติมใหม่ได้
พิกัด : ศาลาแดงซอย 3 (ซอยตรงข้าม MK GOLD)


ZeroMoment Refillery
Bulk Store สุดยิ่งใหญ่ที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ร้าน ZeroMoment Refillery ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทั้งออร์แกนิกและไม่ออร์แกนิก แต่ยังมีสินค้าในกลุ่มของกินตั้งแต่อาหารแห้ง ข้าวสาร เส้นสปาเกตตี เครื่องเทศ ชา กาแฟ ไปจนถึงขนมขบเคี้ยว ที่ทางร้านได้ติดต่อซื้อขายกับเกษตรกรอินทรีย์โดยตรง และมีภาชนะต่างๆ สำหรับใส่ผลิตภัณฑ์รีฟิลให้ผู้ที่สนใจซื้อแต่ไม่ได้พกกล่องหรือขวดมา หรือใครที่อยากหาบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำชิ้นใหม่ก็มีวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
พิกัด : ตึก @home residence ซอย 16 ถนนเสรี 2 หลัง The Nine พระราม 9


Less Plastic Able
นอกจากร้านในใจกลางเมืองเเล้ว สายกรีนฝั่งธนเองก็มี Bulk Store ที่สามารถเข้ามารีฟิลผลิตภัณฑ์ได้ นั่นก็คือร้าน Less Plastic Able ซึ่งตั้งอยู่ในร้านเดียวกันกับ Delipizza Bangkok โดยก่อตั้งขึ้นมาเพื่อมุ่งมั่นหวังจะเป็น Hub หรือ Supplier สำหรับคนที่สนใจเรื่องการลดขยะให้ได้มีแหล่งซื้อของในหลายๆ พื้นที่ของประเทศไทย แม้จะเป็นมุมเล็กๆ ในร้านพิซซ่า แต่ก็อัดแน่นไปด้วยผลิตภัณฑ์ของใช้ในบ้าน ของใช้ส่วนตัว อาหารแห้งต่างๆ ให้เลือกเติมกันอย่างหลากหลาย เเละยังมีบรรจุภัณฑ์สำหรับใช้ซ้ำอย่างขวดน้ำ ถุงผ้าแบบต่างๆ จำหน่าย
พิกัด : ถนนประชาธิปก แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี


Foolfill Corner @ rivers & roads
ไม่เพียงแค่ในกรุงเทพฯ ที่เชียงใหม่ก็มีมุม zero waste แล้วเช่นกัน เริ่มต้นจาก rivers & roads ร้านขายของฝากน่ารักๆ ที่นอกจากจะมีสารพัดงานฝีมือจากศิลปินในพื้นที่แล้ว ยังมีมุมเล็กๆ ของร้านในชื่อ Foolfill Corner ซึ่งเป็นสเตชั่นเติมน้ำยาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งที่ร้านก็พยายามคัดผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมาให้เลือกพอประมาณในระยะเริ่มต้น แน่นอนว่านอกจากผลิตภัณฑ์รีฟิลแล้วที่นี่ก็มีของใช้อย่างแก้ว จาน ชุดช้อมส้อม งานคราฟต์หน้าตาเก๋ๆ ที่สามารถนำมาใช้ซ้ำให้เลือกซื้อติดมือกลับบ้านกันไป
พิกัด : ถนนท่าแพ เชียงใหม่


Peace of Mind By ChiangmaiCotton
เป็นอีกหนึ่งร้านค้าที่อยากถ่ายทอดแนวคิดอันเรียบง่ายแต่ยั่งยืน ผ่านสินค้าต่างๆ ทั้งเสื้อผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ของใช้แฮนด์เมดจากวัตถุดิบธรรมชาติจากงานฝีมือคัดสรรสุดเนี๊ยบจากชาวบ้าน รวมไปถึงมุมผลิตภัณฑ์ของใช้ออร์แกนิกตั้งแต่แชมพู สบู่ น้ำยาล้างจาน ยาสีฟัน มาจำหน่ายแบบเติมใน Refill Corner เล็กๆ ของร้าน ให้ชาวเชียงใหม่สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตแบบ Zero Waste กันให้มากยิ่งขึ้น
พิกัด : นิมมานเหมินทร์ซอย 4 เชียงใหม่


Zero Waste Shop Phuket
ขึ้นเหนือกันแล้วมาลงใต้กันบ้าง ที่ภูเก็ตก็มีร้าน Bulk Store เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน ร้านค้าเเบบเติมที่มีทั้งผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนอย่างน้ำยาทำความสะอาดบ้านชนิดต่างๆ ของใช้ส่วนตัวจำพวกแชมพู สบู่ บอดี้โลชั่น และยังมีสินค้าทางเลือกสำหรับนำมาใช้ซ้ำที่ทางร้านทำเองวางจำหน่ายอีกด้วย
พิกัด : 185/75 ถนนดอนจอมเฒ่า ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง ภูเก็ต

awsa