อัปเดตเทรนด์แต่งบ้านสไตล์มินิมอล

Minimal Style เป็นสไตล์ของความเรียบง่ายที่ถูกนำมาปรับใช้กับการออกแบบและตกแต่งบ้านในปัจจุบัน โดยการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลมีรากฐานมาจากรูปแบบของงานศิลปะ Minimalism ที่ผสมผสานกับวิถีชีวิต ซึ่งสื่อออกมาในแง่สถาปัตยกรรม จนสะท้อนเป็นความเรียบง่ายผ่านการตกแต่งรูปแบบ พื้นที่ รายละเอียด และการใช้สี โดยการออกแบบในสไตล์มินิมอลที่เรียบง่ายเหล่านี้จะช่วยดึงเอกลักษณ์และความโดดเด่นออกมาได้ชัดเจน จนทำให้การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

เทรนด์การแต่งบ้านสไตล์มินิมอล

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอล (Minimal) เป็นสไตล์ที่เน้นความเรียบง่ายอย่างแท้จริง หรือที่เรียกกันติดปากว่า “น้อยแต่มาก (Less is More)” ซึ่งเป็นคอนเซปต์ที่อธิบายได้อย่างตรงตัว การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจะเน้นทุกอย่างที่น้อยชิ้น เฟอร์นิเจอร์มักถูกจัดวางอย่างลงตัว ข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นจะถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ทุกอย่างในบ้านจะดูโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกว่าเทรนด์การแต่งบ้านสไตล์มินิมอล หรือแต่งห้องสไตล์มินินอลเป็นอย่างไร ตามมาดูกันเลย

เคลียร์พื้นที่ให้โล่ง

อันดับแรกของการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลที่จะตอบโจทย์ความเป็นมินิมอลได้ดีที่สุดคือ การออกแบบบ้านให้เหลือพื้นที่ใช้สอยมากที่สุด เพราะฉะนั้นข้าวของที่ไม่จำเป็นจึงควรเคลียร์ทิ้ง หากเป็นไปได้ควรหาที่จัดเก็บที่อื่นเพื่อไม่ให้รกสายตา ก่อนจะเริ่มตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจึงควรคำนึงถึงข้อนี้เป็นสำคัญ

การเลือกโทนสีกลาง

การเลือกโทนสีของห้อง หรือการเลือกวอลเปเปอร์ในสไตล์มินิมอลมักเน้นโทนสีที่เป็นสีกลาง เช่น ขาว ดำ หรือเทา จะทำให้ห้องดูโล่งกว้าง หรือใช้วัสดุในการตกแต่งที่เป็นไม้สีเหลืองอ่อน ก็จะช่วยทำให้ห้องมีความซอฟท์ และดูอบอุ่นขึ้น

เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่เน้นคุณภาพ

การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล ควรเลือกซื้อเท่าที่จำเป็น อาจมีฟังก์ชันหลากหลายเพื่อตอบโจทย์การใช้งาน แต่ดีไซน์โดยรวมควรดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา เพราะอาจไม่เข้ากับความเป็นมินิมอล และทำให้เบื่อง่าย วัสดุที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์จึงควรเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ แข็งแรงทนทาน และสามารถใช้งานได้ในระยะยาว

เก่าไป ใหม่มา

เป็นกฎของการสับเปลี่ยนของ “เก่าไป ใหม่มา” ที่เข้ากับความมินิมอล หากมีการซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งห้องมาใหม่ ควรนำของเก่าที่ถูกแทนที่ออกจากห้องไปเก็บที่อื่นหรือเลือกส่งต่อให้กับคนที่จะได้ใช้ประโยชน์สิ่งนั้น เพื่อให้ตรงกับคอนเซปต์ความน้อยชิ้นให้มากที่สุด

เสริมความเป็นธรรมชาติ

การเพิ่มแสงและเงาให้เข้ามาสู่ตัวห้องและบ้าน ด้วยการปรับเปลี่ยนประตูหน้าต่างแบบทึบให้เป็นกระจก จะช่วยทำให้แสงสามารถเข้ามาสู่ตัวบ้านได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการหาต้นไม้ฟอกอากาศไว้ตามจุดต่างๆ ของห้อง ก็ช่วยสร้างความอบอุ่น และบรรยากาศความเป็นมินิมอลได้ดียิ่งขึ้น

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลถูกนำมาปรับใช้กับโครงการบ้าน เพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ชื่นชอบความเรียบง่ายในสไตล์มินิมอล โดยอารียาเองได้มีการหยิบส่วนผสมของความเป็นมินิมอลแต่ละสไตล์มารวมกันจนกลายเป็น “Areeya The Minimal Serie” โครงการบ้านสไตล์มินิมอล 3 สไตล์ ที่สะท้อนความเป็นตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจน มาดูกันว่าคอนเซปต์ของการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจากอารียา จะมีการตีความและสร้างความแตกต่างในความมินิมอลได้อย่างไรบ้าง

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจากอารียา

  • Minimal Eco Living

การออกแบบบ้านที่อยู่ภายใต้คอนเซปต์ “Canvas of life – ผืนผ้าใบแห่งชีวิต” ที่จะทำให้ผู้อาศัยได้พบกับความเรียบง่าย มาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้สอยที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันที่ผสมผสานความมินิมอล และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกับโครงการ COMO Bianca บนทำเลติดเมกาบางนา ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่นี่

  • Modern Minimal

การออกแบบบ้านภายใต้คอนเซปต์ “Madly Minimal – ตอบโจทย์คนที่หลงใหลความมินิมอลแบบสุดทาง” เป็นการออกแบบที่เน้นสไตล์ Modern Minimal ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างความมินิมอลและความโมเดิร์นให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเน้นความมินิมอลแบบสุดโต่งด้วยการใช้สีขาวทั้งภายในและภายนอก เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านด้วย Courtyard สวนส่วนตัวกลางบ้าน ทำให้มีพื้นที่อิสระในการพักผ่อนและต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้เกิด Inspiration แบบไร้ขีดจำกัด อย่างโครงการ AREN X บ้านเดี่ยวมินิมอลรูปแบบใหม่ ที่มาพร้อมกับ Private Pool*, Private Courtyard* และ Private Barcony ทำให้คุณไปได้สุดกับชีวิตมินิมอลในโซนบางนา ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่นี่

  • Minimal Cozy

การออกแบบและแต่งบ้านสไตล์มินิมอลที่เน้นให้ความอบอุ่น เรียบง่าย ตามคอนเซปต์ “Happiness is Simple – ความสุขที่แท้นั้นง่ายดาย” การออกแบบในสไตล์ Minimal Cozy นี้ มาพร้อมช่องแสงธรรมชาติขนาดใหญ่ และดีไซน์ฟังก์ชันที่คราฟท์ทุกรายละเอียด สื่อถึงความเรียบง่าย ธรรมดา แต่แฝงไปด้วยพลังของความอบอุ่น เพื่อเติมเต็มความสุขของทุกคนในบ้าน และตอบโจทย์บ้านหลังแรกที่จะมอบความสุขสำหรับครอบครัว พบการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลในรูปแบบ Minimal Cozy ได้กับโครงการ Nora (โนระ) ทาวน์โฮมบน 2 ทำเลคุณภาพ บางนา และกาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ ติดเมกาบางนา ดูข้อมูลเพิ่มเติมคลิก ที่นี่

การมีบ้านที่ตอบโจทย์จะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุข สำหรับใครที่มีบ้านอยู่แล้วแต่อยากปรับให้เข้ากับสไตล์มินิมอลก็สามารถทำได้ เพียงทำความเข้าใจกับความเป็นมินิมอล และรู้หลักในการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลสักหน่อยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง คุณก็สามารถมีบ้านในสไตล์มินิมอลได้เช่นกัน รับชมบ้านสไตล์มินิมอลหรือค้นหาบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณเพิ่มเติมได้ ที่นี่

awsa

ประกันภัยบ้านมีอะไรบ้าง จำเป็นมากแค่ไหน???

การทำประกันภัยบ้านถือว่าเป็นการซื้อความสบายใจ นอกจากจะช่วยป้องกันความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด และเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้แล้ว หากเกิดภัยต่างๆ ขึ้นมา เช่น ภัยพิบัติ และภัยทางธรรมชาติ ประกันภัยบ้าน นอกจากจะช่วยคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้น ยังช่วยให้คุณไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงคนเดียวหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งความสำคัญและรายละเอียดของประกันภัยบ้านรูปแบบต่างๆ มีดังนี้

ประกันภัยบ้าน ใครว่าไม่สำคัญ

โดยปกติแล้วบ้านใหม่มักจะมาพร้อมประกันภัยอยู่แล้ว เพื่อป้องกันความเสียหายจากไฟไหม้ น้ำท่วม หรือว่าภัยอื่นๆ ซึ่งประกันภัยในส่วนนี้เป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมาย เมื่อทำการกู้สินเชื่อบ้านกับธนาคารจะต้องทำประกันภัยบ้านควบคู่ไปพร้อมกัน และหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประกันภัยบ้านกับสิทธิประโยชน์ที่ให้คุณอุ่นใจ

การคุ้มครองของประกันภัยบ้านนั้น จะครอบคลุมทั้งทรัพย์สิน และการคุ้มครองที่พักชั่วคราวไม่ว่าจะเป็นความเสียหายจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า การระเบิด การถูกชนด้วยยานพาหนะทั้งทางบกและทางอากาศ หรือภัยเนื่องจากน้ำ นอกจากนี้ยังสามารถซื้อความคุ้มครองในส่วนของภัยเกี่ยวกับ น้ำท่วม พายุ และแผ่นดินไหว เพิ่มเติมได้ด้วย

ทำความรู้จักกับรูปแบบประกันภัยให้มากขึ้นกันเถอะ

ประกันภัยบ้านจะมีทั้งแบบภาคบังคับตามกฎหมายที่ต้องซื้อพร้อมกับบ้านแล้ว ยังมีประกันภัยบ้านส่วนเพิ่มเติมอื่นๆ ที่สามารถคุ้มครองบ้านได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1. ประกันอัคคีภัย

ประกันอัคคีภัยเป็นประกันภัยบ้านที่กฎหมายบังคับให้ต้องมี โดยจะเป็นการคุ้มครองตัวบ้าน แต่ไม่คุ้มครองที่ดิน สามารถแบ่งความคุ้มครองภัยได้ 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ภัยจากแก๊สหุงต้มรั่ว ภัยจากฟ้าผ่าหลังคา และภัยจากไฟไหม้บ้าน

2. ประกันภัยพิบัติ

ประกันส่วนนี้กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่มีไว้เพื่อป้องกันภัยก็ทำให้อุ่นใจ โดยจะครอบคลุมเรื่อง น้ำท่วม ลูกเห็บตก และแผ่นดินไหว ซึ่งจะมีเงื่อนไขดังนี้

ภัยพิบัติต้องประกาศโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตามคำแนะนำของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ทั้งนี้ ต้องเป็นภัยพิบัติรุนแรง เจ้าของบ้านถึงจะเอาเบี้ยประกันได้

  • แผ่นดินไหว ต้องมากกว่าระดับ 7 ริกเตอร์ขึ้นไป
  • ลมพายุ ต้องมีความเร็วของพายุตั้งแต่ 120 กม./ชั่วโมงขึ้นไป
  • ในกรณีที่บ้านอยู่ใกล้ริมน้ำ ทางน้ำผ่าน ใกล้สถานที่กักเก็บและรองรับน้ำ จะไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมธรรม์ได้ เพราะถือว่าไม่เข้าข่ายลักษณะภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ

3. ประกันภัยคุ้มครองการโจรกรรม

ประกันภัยประเภทนี้นอกจากจะคุ้มครองตัวบ้านแล้ว ยังคุ้มครองทรัพย์สินอีกด้วย เช่น ขโมยขึ้นบ้าน เป็นต้น

ประกันภัยบ้านทั้ง 3 แบบที่กล่าวมาข้างต้น ผู้รับประกัน หรือธนาคารแต่ละแห่งจะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ผู้เอาประกันควรอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดก่อนการทำประกันภัย

ทุนประกันภัยบ้าน ควรซื้อเท่าไร

การซื้อประกันภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ หรือคอนโด จะมีราคากลางมาตรฐานที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คอยกำกับดูแล เพื่อไม่ให้มีความเหลื่อมล้ำทางด้านราคาของผู้รับประกันแต่ละราย  ซึ่งทุนประกันที่ควรทำ หรือวงเงินที่คุ้มครองนั้น ไม่ควรต่ำกว่า 70% ของมูลค่าบ้านและทรัพย์สิน

ยกตัวอย่าง เช่น บ้านพร้อมที่ดิน มูลค่า 1,000,000 บาท ควรซื้อทุนประกันไม่ต่ำกว่า 700,000 บาท หากในกรณีที่เกิดความเสียหายบางส่วนของบ้าน ก็จะได้รับเงินชดเชยเช่นเดียวกับทุนประกันเต็มมูลค่าที่ 700,000 บาทนั่นเอง แต่ถ้าทำทุนประกันต่ำกว่าที่กำหนด เช่น 600,000 บาท หรือ 60% ของมูลค่าทรัพย์สิน หากเกิดความเสียหายบางส่วนของบ้าน และถูกประเมินความเสียหายในราคา 300,000 บาท คุณจะได้รับสินไหมทดแทนเพียง 60% ของราคาประเมินความเสียหาย หรือ 180,000 บาทเท่านั้น การเลือกซื้อทุนประกันที่เหมาะสมจึงควรซื้อให้ครอบคลุมความเสียหายตามมูลค่าทรัพย์สินดีที่สุด

ค่าเบี้ยประกันภัยบ้าน

ค่าเบี้ยประกันภัยบ้านจะขึ้นอยู่กับประเภทของที่อยู่อาศัย และอ้างอิงจากวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างหรือตกแต่ง รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะถูกจำแนกออกมาเป็นอาคารไม้ และอาคารปูน บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว/บ้านเดี่ยว 2 ชั้น โดยการชำระค่าเบี้ยประกันภัยบ้านจะชำระเป็นแบบรายปี แต่สามารถเลือกซื้อแบบราย 2 ปี หรือ 3 ปี ก็จะมีส่วนลดค่าเบี้ยประกันให้ด้วย ซึ่งทุนประกัน 1 ล้านบาท เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,000 บาท ทุนประกัน 2 ล้านบาท เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 2,000-5,000 บาท และทุนประกัน 3 ล้านบาท เบี้ยประกันจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-8,000 บาท เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าการทำประกันภัยบ้านนั้น มีราคาที่ต้องจ่ายไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับหากเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด นอกจากประกันภัยภาคบังคับแล้ว เป็นไปได้ควรซื้อประกันภัยบ้านในส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ประกันภัยคุ้มครองกรณีน้ำท่วม พายุ ลูกเห็บ แผ่นดินไหว ภัยพิบัติต่างๆ ที่ไม่คาดคิด เป็นต้น เพื่อเพิ่มความคุ้มครองให้ครอบคลุม ก็จะช่วยทำให้ผู้อยู่อาศัยอุ่นใจ และไม่แบกภาระคนเดียวหากเกิดภัยต่างๆ ขึ้นกับที่อยู่อาศัย

หากคุณกำลังมองหาบ้านหรือคอนโด อารียาขอนำเสนอโครงการบ้านและทาวน์โฮมโครงการใหม่ โซนบางนา,​ โซนรังสิตโซนเกษตร นวมินทร์โซนรามอิทราหทัยราษฎร์ และ โซนนนทบุรี สามารถเข้ามาชมโครงการบ้านที่น่าสนใจได้ ที่นี่ เพื่อการวางแผนซื้อประกันภัยบ้านในขั้นตอนถัดไป อารียาขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คุณมีบ้านในแบบที่ชอบ และอุ่นใจไปพร้อมประกันภัยบ้านที่จะคอยคุ้มครองความเสี่ยงภัยที่จะเกิดกับบ้านได้อย่างวางใจ

awsa

สรุป ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car)

สรุป ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car)

ในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าตามท้องถนนบ้านเรากันมากขึ้น แต่ด้วยตัวเลือกที่ยังไม่หลากหลายทั้งในเรื่องดีไซน์ และราคา เพราะรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งมีราคาค่อนข้างสูง ไหนจะค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ยังต้องผ่อนบ้าน จ่ายค่าบัตรเครดิตแต่ละเดือน หรือค่าเทอมลูก จึงทำให้ใครหลายคนยังลังเลไม่กล้าตัดสินใจซื้อ วันนี้อารียาเลยมีข้อสรุปของการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาเสนอ มีอะไรบ้างนั้น ไปดูกัน

รถยนต์ไฟฟ้า คืออะไร

รถยนต์ไฟฟ้า คือ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากไฟฟ้า 100% โดยเป็นการใช้พลังงานที่เก็บอยู่ในแบตเตอรี่หรืออุปกรณ์เก็บพลังงานไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ ของค่ายรถยนต์ที่พัฒนาเทคโนโลยีภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันเราสามารถแบ่งประเภทการใช้งานไฟฟ้าได้ 3 ประเภท ดังนี้

  1. HEV : Hybrid Electric Vehicle หรือ “รถยนต์ไฮบริด” ที่หลายคนคุ้นหู เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนไปพร้อมกัน
  2. PHEV : Plug-in Hybrid Electric Vehicle หรือ “รถยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด” เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความสามารถคล้ายกับรถยนต์ไฮบริด แตกต่างกันตรงที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้จากภายนอก หรือ Plug-in
  3. PEVs : Plug-in Electric Vehicles คือ รถยนต์ไฟฟ้า 100% ใช้เพียงแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เป็นพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวในการขับเคลื่อน สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ หรือ Zero Emission

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า

1. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ทำให้ไม่มีการปล่อยของเสียทั้งในรูปแบบก๊าซที่เป็นควันและเขม่าผง ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศ

2. ประหยัดค่าใช้จ่าย

เหตุผลอันดับต้นๆ ที่ทำให้เราเปลี่ยนมาเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพราะเมื่อเทียบค่าน้ำมันจะเฉลี่ยอยู่ราวๆ ลิตรละ 30-40 บาท จะสามารถขับขี่ได้ระยะทางประมาณ 10-24 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายในการชาร์จต่อครั้งอยู่ที่ 2.6369 – 7.5 บาท/หน่วย ซึ่ง 1 หน่วยสามารถวิ่งได้ระยะทางราวๆ 4-7 กิโลเมตร ถือว่าประหยัดค่าน้ำมันไปได้มากเลยทีเดียว
นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงรักษาน้อยกว่า เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์ และไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จึงทำให้การดูแลรักษาง่ายกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป

3. เงียบและเร็ว

เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนไม่ต้องใช้การจุดระเบิดเพื่อเผาไหม้ จึงทำให้ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ขณะใช้งาน และการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำให้มีแรงบิดมากกว่า อัตราการเร่งจึงดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า

1. จุดชาร์จไฟ

ถึงแม้ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าจะมีความนิยมสูงขึ้น แต่จุดชาร์จไฟยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ และระยะเวลาในการชาร์จยังต้องใช้เวลานานกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่เล็กน้อย

2. ระยะในการขับขี่

เนื่องจากพลังงานที่รถยนต์ไฟฟ้าใช้ขับเคลื่อนมาจากแบตเตอรี่ ทำให้ระยะทางการขับขี่ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ที่ใช้งาน หากต้องใช้งานเดินทางระยะไกลอาจจะต้องมีการคำนวณให้รอบคอบเสียก่อน

3. การบำรุงรักษา

ในปัจจุบันอู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้ายังหาได้ยากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และด้วยความเฉพาะของระบบจึงอาจจะทำให้ระยะเวลาการซ่อมบำรุงใช้เวลานานกว่าปกติ

จะเห็นได้ว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นมีข้อดี คือ ประหยัดค่าใช้จ่ายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนข้อเสียคือระยะทางในการขับขี่ที่ยังต้องขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ รวมถึงจุดชาร์จไฟที่ยังมีไม่มากพอ ซึ่งก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อเลยทีเดียว

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงมีคำตอบในใจแล้วว่าสุดท้ายจะเลือกรถยนต์ไฟฟ้าแบบไหนดี ทางที่ดีควรคำนึงจากการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลักว่าในแต่ละวันเรามีการเดินทางอย่างไรบ้าง และสำรวจตัวเองให้แน่ชัดว่าต้องการอะไรจากการใช้รถ เช่น ราคา ความประหยัด ความคุ้มค่า ดีไซน์ และอาจจะรวมไปถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย

สำหรับใครที่กำลังมองหาทั้งรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่และบ้านหลังใหญ่ วันนี้อารียามีโปรโมชันดีๆ มานำเสนอ

โปรโมชัน COLORS FREEVERRR ซื้อบ้านแถมรถ

ซื้อทาวน์โฮม The Colors วันนี้ จับคู่ฟรีเว่อออ! รถยนต์ไฟฟ้า EV มูลค่ากว่า 420,000 บาท* ทันที วันนี้-30 พ.ย. 65 เท่านั้น! ลงทะเบียนฟรีเว่อออก่อนใคร ที่นี่

THE COLORS (เดอะ คัลเลอร์ส)

โครงการบ้านสองชั้นในรูปแบบทาวน์โฮมขนาดใหญ่ มาพร้อมฟังก์ชันที่ครบ คุ้มทุกตารางเมตร เน้นสเปซกว้างตอบโจทย์ทุก Activity ของทุกคนในครอบครัว ราคาบ้านเริ่มต้น 1.89 ล้าน* บน 4 ทำเลรอบเมือง ได้แก่

o    THE COLORS บางบัวทอง 340 ราคาเริ่ม 1.89 ล้านบาท
•    ทาวน์โฮมสไตล์ทรอปิคอล 2 ชั้น มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ
–    Pastel A : 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 118 ตร.ม.
–    Pastel B : 3 ห้องนอน 1 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 105 ตร.ม.

o    THE COLORS  ลำลูกกา-คลอง 4 ราคาเริ่ม 2.39 ล้านบาท
•    ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์น 2 ชั้น 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถ
–    พื้นที่ใช้สอยขนาด 118 ตร.ม.
–    มาพร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ และสวนสีเขียวรอบโครงการ
–    เดินทางสะดวกเพียง 10 นาที จากวงแหวนกาญจนาภิเษกฯ

o    THE COLORS บางนา-วงแหวนฯ ราคาเริ่ม 2.89 ล้านบาท
•    ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล  2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 Multi-purpose Room
–    พร้อมที่จอดรถ 2 คันทุกหลัง ตอบโจทย์ทุกชีวิตของคนเมือง ใกล้เมกาบางนา

o    THE COLORS รามอินทรา-หทัยราษฎร์ ราคาเริ่ม 2.99 ล้านบาท
•    พรีเมียมทาวน์โฮม หน้ากว้าง 5.7 ม. พร้อมพื้นที่ใช้สอย 130 ตร.ม.
–    4 ห้องนอน Master Bedroom เพดานสูงถึง 3 ม. จอดรถ 2 คัน พร้อมลงเสาเข็มเท่าตัวบ้าน

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

awsa

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ปลายปี 2565 วันไหนดีเดือนไหนปัง เช็กเลย

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ ปลายปี 2565

วันไหนดีเดือนไหนปัง เช็กเลย

ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ หรือฤกษ์สำหรับการย้ายเข้าบ้านใหม่ ถือเป็นอีกเรื่องสำคัญสำหรับคนมีบ้าน หลังการเลือกซื้อบ้าน คอนโด และมีการตรวจบ้านโอนบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนการเข้าอยู่เพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต คนไทยมักหาวันที่เป็นฤกษ์ดีในการย้ายบ้าน โดยการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย เพิ่มความเป็นสิริมงคลให้แก่บ้าน และครอบครัวของตนเองก่อนการเข้าอยู่อาศัยจริง จึงควรมีการเลือกวันในทางโหราศาสตร์ไทยที่เรียกว่า ฤกษ์มงคลในการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่สำหรับครึ่งปีหลังของปี 2565 ในแต่ละเดือนที่เหลือจะมีวันไหนที่เป็นฤกษ์ดี ฤกษ์มงคลขึ้นบ้านใหม่กันบ้าง ไปเลือกดูกันได้เลย

ความหมายของฤกษ์

ฤกษ์มงคล ถือเป็นช่วงเวลาที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่คิดจะกระทำการใดๆ ในช่วงเวลานั้น ซึ่งในทางโหราศาสตร์ไทยได้กำหนดฤกษ์ไว้ทั้งหมด 9 ฤกษ์ แต่จะมีเพียง 4 ฤกษ์เท่านั้น ที่ถือว่าเป็นฤกษ์ที่ดีและเหมาะแก่การทำพิธีมงคล ดังนี้

  1. มหัทธโณฤกษ์ แปลว่า ผู้มั่งมี ผู้รุ่งเรือง ความเป็นเศรษฐี จึงเป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับงานมงคล ได้แก่ งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน พิธีลงเสาเอก ปลูกสร้างอาคาร เปิดธุรกิจห้างร้านใหม่ การลาสิกขาบท และการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่างๆ
  2. ภูมิปาโลฤกษ์ แปลว่า ผู้รักษาแผ่นดิน เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับงานมงคลที่เกี่ยวกับความมั่นคง ยั่งยืน ได้แก่ งานเกี่ยวกับที่ดิน การเกษตร การเช่าซื้อ การก่อสร้าง ยกศาลพระภูมิ งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ ลาสิกขาบท และการเปิดอาคารห้างร้าน เป็นต้น
  3. เทวีฤกษ์ แปลว่า นางพญา ความมีเสน่ห์ ความงาม โชคลาภ และความสมปรารถนา เอื้อสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าหาผู้ใหญ่ การหมั้นหมายและการสมรส ส่งตัวเจ้าสาว และฤกษ์เข้าห้องหอ การทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับความมีเสน่ห์ มีชื่อเสียง งานที่ต้องการความหรูหราและมีเกียรติ เปิดร้านเครื่องประดับ ร้านเสริมสวย การขึ้นบ้านใหม่ และงานมงคลต่างๆ
  4. ราชาฤกษ์ แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจวาสนา พระเจ้าแผ่นดิน เป็นฤกษ์ที่เหมาะกับงานพระราชพิธี งานราชการ งานเมือง การเข้ารับตำแหน่ง การเข้าหาผู้ใหญ่ งานมงคลสมรสที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติ การลาสิกขาบท การขึ้นบ้านใหม่ และงานมงคลต่างๆ

ฤกษ์ทั้ง 4 ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นสามารถนำมาเลือกใช้เป็นวันมงคลสำหรับพิธีขึ้นบ้านใหม่ได้ทั้งหมด ถ้าพร้อมแล้วตามไปดูกันเลยว่าฤกษ์สำหรับการขึ้นบ้านใหม่ในแต่ละเดือนของครึ่งปีหลัง 2565 จะมีฤกษ์มงคลวันไหนบ้าง

ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่เดือนตุลาคม 2565  

1 วันอังคารที่ 4 ตุลาคม 2565
●    เวลา 10:23-11:28 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 13:32-14:27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 15:22-16:17 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2 วันพุธที่ 5 ตุลาคม 2565
●    เวลา 07:26-08:21 น. เป็นเทวีฤกษ์
●    เวลา 10:11-11:06 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 12:26-13:21 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 15:16-16:11 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3 วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม 2565
●    เวลา 09:24-10:18 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 12:32-13:27 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 14:17-15:12 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4 วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม 2565
●    เวลา 09:16-10:11 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 12:27-13:22 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

5 วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565
●    เวลา 08:24-09:15 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 11:33-12:26 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 13:23-14:18 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

6 วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2565
●    เวลา 11:12-12:05 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 12:56-13:51 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 15:09-16:04 น. เป็นราชาฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันจันทร์และวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

7 วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2565
●    เวลา 05:59-06:54 น. เป็นเทวีฤกษ์
●    เวลา 07:49-08:44 น. เป็นราชาฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่เดือนพฤศจิกายน 2565  

1 วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน 2565
●    เวลา 07:09-08:04 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 10:20-11:19 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 12:14-13:09 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2 วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565
●    เวลา 09:33-10:28 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 11:23-12:18 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 13:31-14:26 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 16:19-17:14 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3 วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565
●    เวลา 09:20-10:15 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 11:10-12:05 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 13:19-14:14 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 16:07-17:02 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีและวันอังคาร ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคล ฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่เดือนธันวาคม 2565  

1 วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565
●    เวลา 08:19-09:14 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 10:09-11:04 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 12:19-13:14 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 15:06-16:01 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอังคารและวันพฤหัสบดี ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

2 วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565
●    เวลา 05:19-06:14 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 08:19-09:10 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์และวันพุธกลางวัน ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

3 วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565
●    เวลา 08:02-08:57 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 09:52-10:47 น. เป็นเทวีฤกษ์
●    เวลา 11:12-12:07 น. เป็นราชาฤกษ์
●    เวลา 14:00-14:56 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

4 วันพุธที่ 21 ธันวาคม 2565
●    เวลา 07:14-08:09 น. เป็นมหัทธโนฤกษ์
●    เวลา 09:04-09:59 น. เป็นภูมิปาโลฤกษ์
●    เวลา 11:12-12:07 น. เป็นราชาฤกษ์
ยกเว้น ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ไม่ควรใช้ฤกษ์นี้

ใครกำลังมองหาฤกษ์ดี ฤกษ์มงคลขึ้นบ้านใหม่ก็สามารถเลือกวันกันได้ เพื่อความเป็นสิริมงคล และนอกจากทางโหราศาสตร์ไทยแล้ว ในทางศาสตร์จีนเรื่องของฮวงจุ้ยบ้าน บ้านทิศไหนดีที่สุด หรือฮวงจุ้ยห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฮวงจุ้ยห้องรับแขก ฮวงจุ้ยรับห้องนอน ฮวงจุ้ยห้องครัว ล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญที่จะช่วยเสริมพลังและความเป็นสิริมงคลของบ้านได้อีกทาง โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยได้ที่ “ปรับฮวงจุ้ยบ้านปั๊บ ชีวิตเปลี่ยน”

ส่วนใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านใหม่ และกำลังมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบของคุณ อารียามีโครงการที่อยู่อาศัยให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โครงการบ้านเดี่ยว, โครงการ เดอะ วิลเลจ, ทาวน์โฮม, โฮมออฟฟิศ และ คอนโดมิเนียม เลือกบ้านใหม่กันได้แล้วก็จองคิวขึ้นบ้านใหม่กันได้เลยทันที ถือว่ารับทั้งทรัพย์ และความเป็นสิริมงคลไปพร้อมๆ กัน

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก www.ddproperty.com

awsa

บ้านหลังที่สอง ทำตามนี้กู้ผ่านแน่นอน

บ้านหลังที่สอง ทำตามนี้กู้ผ่านแน่นอน

สำหรับใครที่เคยกู้ซื้อบ้าน หรือกู้ซื้อคอนโดหลังแรกไปแล้ว แต่อยากขยับขยายครอบครัว หรือต้องการพื้นที่ใช้สอยของบ้านเพิ่มขึ้น และต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง ควรมีการวางแผนการกู้เงินซื้อบ้าน หรือกู้เงินซื้อคอนโดล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมในการยื่นขอสินเชื่อให้ผ่านแบบฉลุย มาดูกันว่าการยื่นกู้ซื้อบ้านหลังที่สองให้ผ่านอย่างไร้กังวล ต้องรู้และวางแผนอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการวางเงินดาวน์

การกู้ซื้อบ้านหลังที่สองจะมีเงื่อนไขการวางเงินดาวน์ และเกณฑ์ในการวางเงินดาวน์ ตามมาตรการกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำ หรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ได้ถูกประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 กำหนดให้ผู้กู้ต้องวางเงินดาวน์ตามเงื่อนไข ดังนี้

  • บ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และผ่อนชำระหลังแรกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป จะต้องวางเงินดาวน์ 10%
  • บ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และผ่อนชำระหลังแรกยังไม่ถึง 3 ปี จะต้องวางเงินดาวน์ 20%
  • บ้านหลังที่ 2 ที่มีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องวางเงินดาวน์ 20%
  • บ้านหลังที่ 3 ขึ้นไปในทุกระดับราคา จะต้องวางเงินดาวน์ 30%

แต่เนื่องจากมีมาตรการผ่อนคลาย LTV ชั่วคราว สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2565 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และความต้องการซื้อที่อยู่เพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีกำลังซื้อ ทำให้ผู้ที่ต้องการกู้ซื้อบ้านหรือคอนโดหลังที่สองขึ้นไป สามารถวางเงินดาวน์ต่ำสุดได้ที่ 0% ของมูลค่าบ้าน ซึ่งควรรีบตัดสินใจซื้อก่อนสิ้นปี เพื่อรับมาตรการผ่อนคลายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินดาวน์ตามเกณฑ์เดิม หากเกินช่วงเวลาดังกล่าวไป เกณฑ์ในการวางเงินดาวน์ขั้นต่ำหรืออัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) จะกลับมามีผลใช้โดยทันที

ตรวจสอบยอดกู้บ้านหลังแรก

การกู้บ้านหลายหลังย่อมเป็นภาระหลายทาง และอาจทำให้วงเงินกู้ของบ้านหลังที่สองไม่เพียงพอ หรือกู้ไม่ผ่าน หากเป็นไปได้ ถ้ายอดหนี้คงเหลือไม่มากควรปิดหนี้เดิมก่อนการกู้ซื้อบ้านหลังที่สอง เพื่อทำให้วงเงินกู้อนุมัติได้สูงขึ้น

ยกตัวอย่าง เช่น คุณวินัยต้องการจะซื้อบ้านหลังที่สองในราคา 4 ล้านบาท ซึ่งยังคงเหลือยอดหนี้อยู่ 3 แสนบาท

  • หากไม่ทำการปิดหนี้กู้บ้านหลังแรกจะสามารถกู้ได้เพียง 90% หรือจำนวน 3.6 ล้านบาท โดยจะต้องหาเงินจำนวน 4 แสนบาทมาชำระค่าบ้านเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดไป
  • หากปิดหนี้บ้านหลังแรกที่เหลือ 3 แสนบาท จะสามารถกู้ซื้อบ้านได้ถึง 100% หรือ 4 ล้านบาท (รวมค่าตกแต่งด้วย)

ทั้งนี้ วิธีการปิดหนี้แม้จะทำให้วงเงินกู้อนุมัติได้สูงขึ้น แต่ก็จะทำให้ยอดผ่อนและดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าว่าต้องการแบบไหน

ตรวจสอบภาระหนี้สิน

โดยปกติแล้วการยื่นกู้บ้าน ทางธนาคารมักจะพิจารณาวงเงินกู้ได้ไม่เกิน 40% ของรายได้ ดังนั้น หากมีภาระหนี้สูง ก็จะส่งผลให้วงเงินอนุมัติที่ได้ลดน้อยลงไปด้วย ตัวอย่าง เช่น หากมีรายได้ 50,000 บาท โดยธนาคารกำหนดค่าผ่อนชำระสินเชื่อไม่เกิน 50% ของรายได้ หากไม่มีภาระหนี้สินอื่นๆ ก็จะผ่อนบ้านได้เดือนละ 25,000 บาท แต่ถ้ามีภาระหนี้สินอื่นๆ เช่น ผ่อนซื้อรถยนต์เดือนละ 10,000 บาท ก็จะผ่อนบ้านได้เพียง 15,000 บาท

นอกจากธนาคารจะพิจารณาหนี้สินและค่าใช้จ่ายที่แสดงในเครดิตบูโรแล้ว ตามหลักเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังนับรวมสินเชื่อที่กู้จากบริษัทที่ทำงานอยู่มาร่วมพิจารณาวงเงินอีกด้วย เช่น การกู้บ้านกับสวัสดิการที่ทำงาน การหักเงินออม หรือการกู้ต่างๆ ซึ่งธนาคารจะพิจารณาจากสลิปเงินเดือนย้อนหลัง (Statement) ที่มีการถูกหักในแต่ละเดือนด้วยอีกทาง หากมีการคำนวณค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินปัจจุบันทั้งหมด อาจมีผลต่อการอนุมัติวงเงินที่จะได้น้อยลง ทางที่ดี ควรรีบเคลียร์หนี้เก่าให้เรียบร้อยเสียก่อน หรือหาคนในครอบครัวมากู้ร่วมด้วย ก็เป็นอีกทางเลือกที่จะทำให้วงเงินกู้ถูกอนุมัติเพิ่มขึ้นนั่นเอง

หลังจากศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนสำหรับการกู้ซื้อบ้านหลังที่สอง และเตรียมความพร้อมตามเงื่อนไขข้างต้นเรียบร้อยแล้ว ควรสอบถามเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติมในการเตรียมเอกสารจากธนาคารที่ต้องการกู้ซื้อบ้านหลังที่สองด้วย เพื่อความครบถ้วนของเอกสาร เมื่อทำการยื่นกู้ก็จะสามารถลดขั้นตอน ประหยัดเวลาในการยื่นเอกสารเพิ่มเติม และสามารถทราบผลการอนุมัติได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ดูโครงการบ้านจากอารียา และรับคำปรึกษาเรื่องการขอสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้านหลังที่สอง ได้ที่นี่

awsa

รู้ก่อนกู้ อัตราดอกเบี้ย MRR MLR MOR คืออะไร

รู้ก่อนกู้ อัตราดอกเบี้ย MRR MLR MOR คืออะไร

สำหรับมือใหม่ที่กำลังวางแผนจะซื้อบ้านด้วยวิธีการผ่อน จะไม่สามารถผ่อนบ้านกับโครงการได้โดยตรง แต่ต้องดำเนินการขอสินเชื่อบ้านกับธนาคาร และแน่นอนว่าต้องมีเรื่องของ “ดอกเบี้ยบ้าน” เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเงื่อนไขเกี่ยวกับดอกเบี้ยบ้าน มักจะมีคำศัพท์เฉพาะที่ชวนให้สงสัยว่าคืออะไร เช่น Fixed Rate, Floating Rate รวมถึงอักษรย่อคุ้นตาอย่าง MLR MRR และ MOR ที่คนผ่อนบ้าน หรือผ่อนคอนโดทุกคนควรรู้ ว่าแต่ตัวย่อเหล่านี้มีความหมายว่าอะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับอัตราดอกเบี้ยบ้านที่ต้องเจอ บทความนี้จะทำให้คุณเข้าใจเรื่องของ “ดอกเบี้ยบ้าน” ได้แบบง่ายๆ ภายในไม่กี่นาที ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มกันเลย!

อันดับแรกมาทำความเข้าใจเรื่องของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กันก่อน โดยปกติจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) และอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) ขออธิบายแบบย่อ ดังนี้

–    อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดมาให้แบบคงที่ในระยะสั้นๆ 1-3 ปี ซึ่งจะทำให้ผู้กู้ทราบอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าอย่างชัดเจน ว่าในแต่ละปีต้องจ่ายเงินต้น และดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ในช่วงระยะเวลากี่ปี
–    อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ทางธนาคารกำหนดมาให้แบบไม่คงที่ ซึ่งจะมีการปรับขึ้น หรือลงได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอย่าง MLR MRR MOR (ดูความหมายในข้อหัวถัดไป) โดยการปรับขึ้นหรือลงนี้จะมีผลเกี่ยวเนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และการเงิน ซึ่งแต่ละธนาคารจะกำหนดมาไม่เท่ากัน

ความหมายของ MLR MRR และ MOR

MLR (Minimum Loan Rate) คืออะไร

MLR (Minimum Loan Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดขึ้นมาสำหรับเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ ที่เป็นลูกหนี้ชั้นดี ประวัติการเงินมีเสถียรภาพ รวมถึงมีการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันที่เพียงพอและน่าเชื่อถือ โดยส่วนใหญ่จะใช้กับการกู้ในระยะยาวที่มีการกำหนดเวลาการกู้ที่แน่นอน เช่น สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ เป็นต้น

ยกตัวอย่าง : ธนาคาร สินทรัพย์ ปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจวงเงิน 2,000,000 บาท และมีการอ้างอิง MLR ที่ 5.25% โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR -1% ต่อปี คงที่ 3 ปี แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจะเปลี่ยนแปลงไปตาม MLR ที่กำหนดตลอดระยะเวลา 3 ปี ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะอยู่ที่ 5.25%-1% =4.25% เป็นต้น

MRR (Minimum Retail Rate) คืออะไร

MRR (Minimum Retail Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดขึ้นมาเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยที่เป็นลูกหนี้ชั้นดี มีเครดิตทางการเงินปกติ ไม่มีประวัติเสีย ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับการกู้ประเภท สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อคอนโด เป็นต้น

ยกตัวอย่าง : ธนาคาร สินทรัพย์ ปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 2,000,000 บาท และมีการอ้างอิง MRR 7% โดยธนาคารกำหนดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 5% ปีที่ 2 MRR-0.25% และปีที่ 3 MRR-0.25% แสดงว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจะเปลี่ยนแปลงไปตาม MRR โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของปีที่ 2 และ 3 จะอยู่ที่ 7-0.25%= 6.75% เป็นต้น

MOR (Minimum Overdraft Rate) คืออะไร

MOR (Minimum Overdraft Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกำหนดขึ้นมาสำหรับเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นลูกหนี้ชั้นดี สำหรับประเภทการเบิกเกินบัญชี หรือที่คุ้นหูในชื่อ “การเบิกเงินเกิน O/D” ซึ่งธนาคารจะต้องมีการตรวจสอบประวัติทางการเงิน และมีการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันที่น่าเชื่อถือ โดยอัตราดอกเบี้ยประเภทนี้จะถูกคิดเฉพาะส่วนที่ถูกเบิกเกินบัญชีเท่านั้น หากมีการโอนเงินส่วนเกินกลับเข้าสู่บัญชี ดอกเบี้ยก็จะหยุดคิดทันที

ยกตัวอย่าง : ธนาคาร สินทรัพย์ ปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อธุรกิจ มีอัตราดอกเบี้ยประเภทการเบิกเงินเกิน O/D หรือ MOR 5.95% ดังนั้นการเบิกเงินเกินบัญชีจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 5.95% โดยอัตราดอกเบี้ยนี้จะอยู่กับประกาศของแต่ละธนาคาร ซึ่งอาจไม่เท่ากัน

หลังจากศึกษารายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้าน และกู้ซื้อคอนโดกันไปแล้ว ชี้ให้เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในส่วนของ MRR เป็นตัวแปรหลักที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้าน ซึ่ง MRR ของแต่ละธนาคารก็จะไม่เท่ากัน ใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านและคอนโด และต้องการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคาร ควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยอย่างละเอียดก่อนการตัดสินใจ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดและรับคำปรึกษาในเบื้องต้นจากโครงการบ้าน หรือคอนโดที่ต้องการซื้อด้วยว่ามีโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำร่วมกับธนาคารใดอยู่บ้าง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจให้คุณได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการติดต่อขอสินเชื่อโดยตรงกับธนาคาร

ส่วนใครที่กำลังมองหาบ้านหลังแรก หรืออยากได้บ้านใหม่เพิ่มอีกสักหลัง อารียามีโครงการ เดอะ วิลเลจ บ้านสไตล์ American Cottage ที่พร้อมแต่งเติมจินตนาการในบรรยากาศชวนฝัน บนทำเลที่ให้คุณได้เลือกอย่างหลากหลายในราคาเริ่มต้น 3.09 ล้าน* และมีทีมงานมืออาชีพให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อการกู้ซื้อบ้าน โดยสามารถเข้ามาดูโครงการบ้านของอารียาพร้อมรับคำปรึกษาเรื่องอัตราดอกเบี้ยได้ที่นี่

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ราคาเริ่มของโครงการ เดอะ วิลเลจ กาญจนาภิเษก-ราชพฤกษ์ ณ วันที่ 31 ส.ค. 65

awsa

เช็กลิสต์ บ้านมินิมอล ต้องมีอะไรบ้าง

เช็กลิสต์ บ้านมินิมอล ต้องมีอะไรบ้าง

บ้านสไตล์มินิมอล (Minimal) เป็นสไตล์ที่นิยมสำหรับคนยุคนี้ ด้วยการตกแต่งบ้านแบบเรียบง่าย สบายตา แต่ดูมีอะไรและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มาจากคำที่ว่า “น้อยแต่มาก” หรือ “Less is More” เน้นสไตล์การแต่งบ้านที่ดูเรียบ สีที่ใช้ในการแตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอล มักใช้โทนสีขาว หรือโมโนโทนที่ดูสะอาดตา ส่วนการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ เน้นใช้ของตกแต่งน้อยชิ้นเท่าที่จำเป็น ส่วนพื้นที่ใช้สอยของบ้านสไตล์มินิมอลนิยมเหลือพื้นที่ไว้มากๆ เพื่อให้ดูโล่งกว้าง ทำให้สิ่งของรอบตัวเหลือน้อยลง แต่มากไปด้วยความหมายในตัวเอง

สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านในสไตล์มินิมอล หรืออยากจะปรับแต่งบ้านที่อยู่ปัจจุบันให้กลายเป็นบ้านในสไตล์มินิมอลนั้นไม่ยากเลย เพียงปรับแต่งสไตล์ตามรูปแบบของบ้านมินิมอล ซึ่งจะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลย

ดีไซน์การออกแบบบ้าน

การเป็นบ้านสไตล์มินิมอลมองภายนอกจะมีความโดดเด่นที่โทนสีของตัวบ้าน ที่เน้นใช้สีโมโนโทน หรือสีอ่อนๆ อย่างสีขาวที่เป็นสีคลาสสิก และเป็นสีพื้นฐานของบ้านสไตล์มินิมอล และมักใช้สีเอิร์ธโทน อย่างสีน้ำตาล สีแทน เป็นสีรอง ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้วัสดุที่เป็นไม้ หรือวัสดุเทียบเคียงมาใช้ตกแต่ง เพิ่มความมินิมอลให้ดูกลมกลืนใกล้ชิดธรรมชาติ และโดดเด่นมีมิติได้เป็นอย่างดี

ส่วนการออกแบบห้องต่างๆ ภายในบ้านควรคิดเผื่อการจัดวางระบบการเก็บของเพื่อความเป็นระเบียบ ซึ่งการออกแบบบ้านในสไตล์มินิมอลมักออกแบบห้องให้กลมกลืนกับอาคาร หรือเครื่องเรือนอย่างลงตัว ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบผนัง พื้นที่ใต้บันได หรือโซนมุมต่างๆ ให้สามารถซ่อนตู้ หรือลิ้นชักเก็บของได้อย่างกลมกลืนไปกับตัวบ้าน เป็นต้น

เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น หรือเท่าที่จำเป็น

การตกแต่งบ้านในสไตล์มินิมอลที่สำคัญเลย คือการจัดสรรพื้นที่ภายในบ้านให้ดูดีมีสไตล์ตามแนวคิด “Less is More” เพราะฉะนั้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์จึงเน้นการตกแต่งเท่าที่จำเป็น หรือสำคัญต่อการใช้ชีวิตจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น ห้องรับแขก ควรมีเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นอย่างโซฟายาวสักตัว โต๊ะกลาง ชั้นวางแบบมินิมอล ทีวีติดผนังสักเครื่อง ส่วนห้องนอนอาจจะเน้นเตียงที่ดูเรียบง่าย กระจกยาวแขวนผนัง ตู้เสื้อผ้าบิลต์อินสไตล์เรียบๆ กลมกลืนกับตัวห้อง โต๊ะข้างเตียงเล็กๆ ไว้วางหนังสือ เป็นต้น จากที่ยกตัวอย่างมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่เพียงพอต่อการใช้สอยจำเป็น เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบเรียบง่าย ไม่มาก และไม่น้อยในแบบของความเป็นมินิมอลได้อย่างชัดเจน

การจัดวางข้าวของภายในบ้าน

นอกจากการตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแล้ว การวางสิ่งของบนเฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นก็ส่งผลถึงความเป็นบ้านในสไตล์มินิมอลด้วย โดยการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจะเน้นพื้นผิวที่วางของให้ดูสะอาด และเรียบร้อย เพราะฉะนั้นตามโต๊ะ หรือชั้นวางของต่างๆ มักจะมีการวางของที่น้อย อย่างมากเพียงแค่ 1-2 อย่างเท่านั้น หากมีข้าวของจุกจิก ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ควรหาพื้นที่จัดเก็บให้หลบสายตาอย่างเป็นสัดส่วนไม่ปล่อยวางรก ถ้าเป็นพวกหนังสือ ก็ต้องจัดวางให้เป็นระเบียบ เพื่อเน้นความสบายตาเป็นหลัก

ช่องแสงและหน้าต่าง

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลมักเน้นพื้นที่โล่งกว้าง ดูโปร่งสบายไม่อึดอัด ดังนั้นเรื่องของแสงที่จะเข้ามาสู่ตัวบ้านได้อย่างทั่วถึง จะช่วยทำให้บ้านได้รับความสว่างอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ยังทำให้บ้านไม่อับชื้น การออกแบบบ้านจึงควรมีประตูและหน้าต่างในจำนวนที่พอเหมาะให้อากาศได้ถ่ายเทอย่างสะดวก รวมถึงช่องรับแสงที่เพียงพอ ซึ่งอาจใช้กระจกโปร่งแสงเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับตัวบ้านก็สามารถทำได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การเลือกใช้ผ้าม่านในกรณีที่ต้องการลดอุณหภูมิความร้อนที่เข้ามาสู่ตัวบ้าน การเลือกผ้าม่านในสไตล์บ้านมินิมอลมักเลือกผ้าม่านสีอ่อน หรือผ้าโปร่งสีขาวคู่กับผ้าม่านสีทึบ หรือจะเลือกติดผ้าม่านแบบไม้สไตล์ญี่ปุ่น เพื่อสร้างบรรยากาศให้ดูเป็นธรรมชาติก็เป็นตัวเลือกที่ดี

สำหรับไอเดียการแต่งบ้านในสไตล์มินิมอล “น้อยแต่มาก” ที่แนะนำไปข้างต้นนี้ สามารถนำไปปรับใช้ และตกแต่งบ้านของคุณเองได้ไม่ยาก แต่ถ้าใครกำลังมองหาบ้านใหม่ในสไตล์มินิมอล ขอแนะนำโครงการบ้าน Areeya The Minimal Series บ้านมินิมอล 3 สไตล์ ด้วยดีไซน์ที่สวยที่สุดจากอารียา

  • โซนบางนา

COMO BIANCA II บ้านเดี่ยวสไตล์ Minimal Eco Living
NORA ทาวน์โฮมสไตล์ Minimal Cozy
และเตรียมพบกับ AREN X บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Minimal พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว*

  • โซนชัยพฤกษ์-วงแหวนฯ

NORA ทาวน์โฮมสไตล์ Minimal Cozy

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

awsa

ปรับฮวงจุ้ยบ้านปั๊บ ชีวิตเปลี่ยน

ปรับฮวงจุ้ยบ้านปั๊บ ชีวิตเปลี่ยน

เชื่อหรือไม่! การตกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ย จะช่วยทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงได้ อารียา พรอพเพอร์ตี้ ขอนำเสนอการตกแต่งบ้านตามหลักฮวงจุ้ยแบบง่ายๆ ที่คุณสามารถปรับแต่งได้ในทันที มาดูกันว่าการตกแต่ง และจัดวางเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านให้ถูกหลักฮวงจุ้ยทำอย่างไรได้บ้าง

ห้องรับแขก

ห้องรับแขกส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโด แปลนบ้านทั่วไปจะถูกจัดให้อยู่ส่วนหน้าของบ้าน เพื่อต้อนรับผู้มาเยือนได้อย่างสะดวก การจัดห้องรับแขกตามหลักฮวงจุ้ย จึงควรทำให้ห้องมีอากาศถ่ายเทได้ดี มีแสงสว่างที่พอเหมาะ ไม่อับทึบ เพื่อทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งนี้เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งห้องรับแขก ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบในลักษณะโปร่ง ไม่หนักหรือทึบเกินไป โซฟาควรมีพนักพิง และขาลอยจากพื้นห้อง ซึ่งจะช่วยให้อากาศไหลเวียนใต้โซฟาได้ด้วย รวมถึงการทำความสะอาดเช็ดถูก็จะทำได้อย่างสะดวก

ข้อควรหลีกเลี่ยง

  • เลี่ยงการจัดโซฟารูปตัวแอล แต่ควรวางโซฟาให้หันเข้าหากัน เพราะจะช่วยให้พลังงานบวกไหลเวียนได้ราบรื่นขึ้น แถมสมาชิกภายในบ้านยังมีความรักและกลมเกลียวกันมากขึ้น
  • เลี่ยงการนำของประดับจำพวกเขาสัตว์หรือของมีคมต่างๆ มาประดับภายในห้อง เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อสมาชิกในบ้าน ทำให้เกิดอารมณ์โมโหเกรี้ยวกราดได้ง่ายขึ้น

ห้องนอน

ห้องนอนถือเป็นห้องที่เป็นแหล่งรวมพลังที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอน และสุขภาพของผู้อาศัยเป็นอย่างมาก การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ และตกแต่งห้องนอนตามหลักฮวงจุ้ย คงหนีไม่พ้นเรื่องตำแหน่งของการวางเตียงที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่สมดุลได้ เพราะตำแหน่งเตียงจะส่งเสริมการไหลของพลังงาน ทำให้มีโชคลาภ ความเจริญก้าวหน้า ตามหลักฮวงจุ้ยสามารถหันหัวเตียงได้ทุกทิศทาง เพียงแค่จัดตำแหน่งให้หลบทิศทางของประตู ตามหลักฮวงจุ้ยการจัดวางเตียงแต่ละทิศจะมีความหมายดังนี้

  • หันหน้าเตียงทางทิศเหนือ ช่วยพัฒนาสติปัญญา การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วยเรื่องการงาน ความสัมพันธ์กับผู้คน การค้นพบ การทดลองใหม่ๆ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันออก จะทำให้นอนหลับด้วยความสงบ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จะมีความพยายาม พากเพียรในการงาน
  • หันหน้าเตียงทางทิศใต้ ช่วยส่งเสริมชื่อเสียง มีความเป็นที่นับหน้าถือตา ได้รับเกียรติยศ
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ สนับสนุนดวงความรัก และคู่ครอง
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันตก ลูกหลานจะเป็นคนดี เชื่อฟังง่าย
  • หันหน้าเตียงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนฝูง มีมิตรมากมาย

ข้อควรหลีกเลี่ยง

  • ไม่วางเตียงบังช่องทิศทางของประตู ควรปล่อยให้เป็นทางโล่ง เพื่อถ่ายเทพลังงานที่ไม่ดีออกไป การวางเตียงขวางทิศทางของประตู อาจดูดซับพลังงานไม่ดี ทำให้ขัดโชคลาภ รวมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพอีกด้วย

ห้องทำงาน

การจัดมุมทำงานเรื่องหลักๆ นั้นอยู่ที่การจัดวางตำแหน่งของโต๊ะทำงานเป็นสำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานตามหลักของฮวงจุ้ย โดยโต๊ะทำงานควรตั้งหันหน้าไปในทิศทางตามธาตุของแต่ละคน ได้แก่

  • คนธาตุไม้ ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
  • คนธาตุไฟ ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้
  • คนธาตุดิน ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศตกเฉียงใต้ หรือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
  • คนธาตุทอง ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
  • คนธาตุน้ำ ควรนั่งหันหน้าไปทางทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันตก

หมายเหตุ: การแบ่งแยกธาตุตามโหราศาสตร์จีนได้แยกไว้ 5 ธาตุ ได้แก่ ดิน, ทอง, น้ำ, ไม้ และไฟ โดยสามารถจำแนกตามธาตุประจำปี (12 นักษัตร) ได้ดังนี้

  • ปีชวด = ปี 2503 (หนูทอง), ปี 2515 (หนูน้ำ), ปี 2527 (หนูไม้), ปี 2539 (หนูไฟ), ปี 2551 (หนูดิน)
  • ปีฉลู = ปี 2504 (วัวทอง), ปี 2516 (วัวน้ำ), ปี 2528 (วัวไม้), ปี 2540 (วัวไฟ), ปี 2552 (วัวดิน)
  • ปีขาล = ปี 2505 (เสือน้ำ), ปี 2517 (เสือไม้), ปี 2529 (เสือไฟ), ปี 2541 (เสือดิน), ปี 2553 (เสือทอง)
  • ปีเถาะ = ปี 2506 (กระต่ายน้ำ), ปี 2518 (กระต่ายไม้), ปี 2530 (กระต่ายไฟ), ปี 2542 (กระต่ายดิน), ปี 2554 (กระต่ายทอง)
  • ปีมะโรง = ปี 2507 (มังกรไม้), ปี 2519 (มังกรไฟ), ปี 2531 (มังกรดิน), ปี 2543 (มังกรทอง), ปี 2555 (มังกรน้ำ)
  • ปีมะเส็ง = ปี 2508 (งูไม้), ปี 2520 (งูไฟ), ปี 2532 (งูดิน), ปี 2544 (งูทอง), ปี2556 (งูน้ำ)
  • ปีมะเมีย = ปี 2509 (ม้าไฟ), ปี 2521 (ม้าดิน), ปี 2533 (ม้าทอง), ปี 2545 (ม้าน้ำ), ปี 2557 (ม้าไม้)
  • ปีมะแม = ปี 2510 (แพะไฟ), ปี 2522 (แพะดิน), ปี 2534 (แพะทอง), ปี 2546 (แพะน้ำ), ปี 2558 (แพะไม้)
  • ปีวอก = ปี 2511 (ลิงดิน), ปี 2523 (ลิงทอง), ปี 2535 (ลิงน้ำ), ปี 2547 (ลิงไม้), ปี 2559 (ลิงไฟ)
  • ปีระกา = ปี 2512 (ไก่ดิน), ปี 2524 (ไก่ทอง), ปี 2536 (ไก่น้ำ), ปี 2548 (ไก่ไม้), ปี 2560 (ไก่ไฟ)
  • ปีจอ = ปี 2513 (หมาทอง), ปี 2525 (หมาน้ำ), ปี 2537 (หมาไม้), ปี 2549 (หมาไฟ), ปี 2561 (หมาดิน)
  • ปีกุน = ปี 2514 (หมูทอง), ปี 2526 (หมูน้ำ), ปี 2538 (หมูไม้), ปี 2550 (หมูไฟ), ปี 2562 (หมูดิน)

นอกจากนี้ควรรักษาความสะอาดของโต๊ะทำงานอยู่เสมอ การวางสิ่งของบนโต๊ะควรวางสิ่งของที่ใช้เป็นประจำไว้ทางซ้ายมือ ส่วนของแต่งห้องหรือกรอบรูป ให้ย้ายมาอยู่ทางฝั่งขวาแทน เพื่อเป็นกำลังใจที่ดีในเวลาที่นั่งทำงานเครียดๆ

ข้อควรหลีกเลี่ยง

ห้ามจัดโต๊ะหันตรงกับประตู หรือตรงข้ามประตู เพราะเชื่อว่าจะทำให้โชคลาภเงินทอง รวมถึงบารมีไหลออกนอกห้องไป

ห้องครัว

เรื่องปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากการทำอาหารแล้ว การจัดระเบียบของครัวให้สะอาด สวยงามเป็นไปตามหลักฮวงจุ้ยก็จะช่วยส่งเสริมเรื่องพลังงานดี โชคลาภ ครอบครัว และสุขภาพได้อีกด้วย ซึ่งการตกแต่งห้องครัวควรทำให้ครัวสามารถเปิดรับแสงธรรมชาติ นอกจากความปลอดโปร่ง การมองหาข้าวของได้อย่างชัดเจน และไม่ทำให้มุมต่างๆ อับชื้น แล้ว ตามหลักฮวงจุ้ยการมีหน้าต่างเปิดรับแสงเข้ามายังห้องครัว ไม่ว่าจะด้วยแสงไฟธรรมชาติ หรือแสงจากหลอดไฟที่ช่วยส่องแสงสว่างล้วนส่งผลดีทั้งนั้น

ข้อควรหลีกเลี่ยง

  • น้ำไม่ควรใกล้ไฟ เตาไฟไม่ควรวางติดกับก๊อกน้ำ เพราะจะเป็นการรวมธาตุน้ำและไฟ รวมถึงความขัดแย้งมาไว้รวมกัน ก่อให้เกิดพลังงานที่ขัดแย้ง ซึ่งจะส่งผลต่อความกลมเกลียว การทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกี้ยวกราดของสมาชิกในบ้านได้ง่าย
  • ไม่ควรวางเตาไว้กลางห้อง ในทางฮวงจุ้ยไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีนัก เพราะจะส่งผลต่อการไหลเวียนพลังงาน ส่วนด้านการใช้งานจะทำให้น้ำมันกระเด็น และกลิ่นอาหารฟุ้งกระจายง่าย ทางที่ดีควรอยู่ติดผนังทึบที่มีการปูวัสดุที่สามารถเช็ดถูคราบสกปรกออกได้ง่าย

การปรับตำแหน่งและการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในบริเวณบ้านตามหลักฮวงจุ้ยนั้นทำได้ง่ายๆ แต่สามารถปรับดวงชะตาและโชคลาภได้อย่างเห็นผล การเลือกบ้านที่สามารถปรับแต่งห้องต่างๆ ได้อย่างอิสระตามความต้องการถือเป็นการตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีตามหลักฮวงจุ้ย หากใครกำลังมองหาบ้านที่ทำให้คุณสามารถตกแต่งบ้านได้ตามความชอบ อารียาขอเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสไตล์ของคุณ แวะเข้ามาดูโครงการบ้านจากอารียาเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ขอบคุณจากข้อมูลจาก

www.hafelethailand.com

www.nb-furniture.com

www.facebook.com/SinSaeHwang

awsa

เงินเดือน 15,000 กู้ซื้อบ้านเป็นล้านได้ผ่านฉลุย!! | เช็กความพร้อม 5 ขั้นตอนง่ายๆ

เงินเดือน 15,000 กู้ซื้อบ้านเป็นล้านได้ผ่านฉลุย!! | เช็กความพร้อม 5 ขั้นตอนง่ายๆ

เงินเดือน 15,000 บาท ซื้อบ้านได้ไหม คำถามยอดฮิตของกลุ่มคนเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ที่กำลังอยากกู้ซื้อบ้านสักหลัง เพื่อขยับขยายจากที่อยู่อาศัยเดิม หรือวางแผนเพื่อสร้างครอบครัวในอนาคต แต่มีปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อการขอสินเชื่อบ้าน ทั้งรายได้ ราคาบ้าน ตลอดจนความสามารถในการผ่อนบ้านของตนเอง อารียาจึงมี 5 ขั้นตอนง่ายๆ ที่ช่วยเช็กความพร้อมของคนเงินเดือน 15,000 ให้มั่นใจว่าคุณมีบ้านในฝันได้อย่างแน่นอน

5 ขั้นตอน เตรียมความพร้อมก่อนซื้อบ้าน

   1. ประเมินความสามารถทางการเงินของตัวเอง

ก่อนจะกู้ซื้อบ้านเราควรเช็กความพร้อมทางการเงินของตัวเองให้ดีเสียก่อน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วทางสถาบันการเงินจะพิจารณาปล่อยสินเชื่อบ้านให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ต่อเดือน ภายหลังจากหักภาระหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระเรียบร้อยแล้ว โดยมีสูตรการคำนวณเบื้องต้น ดังนี้

เงินเดือน x 40% = จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถผ่อนได้ต่อเดือน

ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A มีรายได้ประจำเดือนละ 15,000 บาท สามารถผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 15,000×40% = 6,000 บาท

แต่หากนางสาว A มีภาระหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระต่อเดือน จำนวน 1,000 บาท นั่นหมายความว่า นางสาว A จะมีความสามารถในการผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 6,000-1,000 = 5,000 บาท เท่านั้น

คำถามต่อมา หากเรามีความสามารถในการผ่อนบ้านเดือนละ 6,000 บาท แล้วเราจะสามารถกู้บ้านได้ในวงเงินสูงสุดเท่าไหร่ โดยสามารถใช้สูตรคำนวณเบื้องต้น ดังนี้

(จำนวนเงินสูงสุดที่สามารถผ่อนได้ต่อเดือน x 1,000,000) ÷ 7,000 = วงเงินกู้สินเชื่อบ้านสูงสุด

ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A มีความสามารถในการผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 6,000 บาท จะสามารถขอวงเงินกู้สินเชื่อได้สูงสุด (6,000 x 1,000,000) ÷ 7,000 = 857,143 บาท*

*หมายเหตุ: ประมาณการวงเงินกู้เบื้องต้นด้วยอัตราผ่อน 7,000 บาท ต่อวงเงินกู้ 1 ล้านบาท

   2. ร่วมกันเราอยู่ ชวนคน (ในบ้าน) มากู้ร่วม

เมื่อพิจารณาจากขั้นตอนที่ 1 หากคุณเข้าเกณฑ์เป็นผู้มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาท และไม่มีภาระหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระใดๆ คุณจะสามารถผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 6,000 บาท และวงเงินที่สถาบันการเงินจะอนุมัติสินเชื่อบ้านอยู่ที่ประมาณ 857,143 บาท แต่โครงการบ้าน หรือแบบบ้านในฝันของคุณ ราคามากกว่า 2 ล้าน นั่นหมายความว่าคุณหมดหวังกับบ้านในฝันหลังนั้นใช่ไหม คำตอบคือ คุณยังมีหวัง!! เพียงหาบุคคลในครอบครัว เช่น บิดา มารดา พี่น้อง สามีภรรยา ที่มีอาชีพและรายได้มั่นคงมาช่วยสานฝันของคุณให้เป็นจริง

ยกตัวอย่างเช่น นางสาว A มีรายได้ต่อเดือน 15,000 บาท ทำการกู้ร่วมกับพี่ชาย นาย B ที่มีรายได้ต่อเดือนหลังจากหักภาระหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระ 20,000 บาท เมื่อนำรายได้ของนางสาว A และนาย B มารวมกันจะมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่เดือนละ 35,000 บาท สามารถผ่อนบ้านได้สูงสุดเดือนละ 14,000 บาท ดังนั้นวงเงินกู้ที่ทางสถาบันการเงินจะอนุมัติให้สินเชื่อบ้านอยู่ที่ประมาณ 2,000,000 บาท

   3. ดาวน์ให้มาก ช่วยให้เบาได้เยอะ

การเก็บออมเงินจำนวนหนึ่ง เพื่อนำมาใช้เป็นเงินดาวน์ในการซื้อบ้าน ถือเป็นหนึ่งทางออกที่นอกจากจะทำให้คุณสามารถกู้ซื้อบ้านได้ในวงเงินที่มากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ภาระการผ่อนบ้านแต่ละเดือนเบาลงไปด้วย จากวงเงินกู้ 100% หากคุณมีเงินดาวน์ 30% นั่นหมายความว่าคุณจะยื่นขอสินเชื่อบ้านกับสถาบันการเงินเพียง 70% ของราคาบ้านเท่านั้น ส่งผลให้คุณสามารถเลือกซื้อบ้านที่แมตช์กับตัวเองหรือครอบครัวได้มากขึ้น และช่วยให้ค่าใช้จ่ายการผ่อนบ้านในแต่ละเดือนลดน้อยลง สามารถนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน หรือเงินเก็บของครอบครัวได้เพิ่มขึ้น

   4. เคลียร์ให้หมด จบปัญหา ภาระหนี้

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีภาระหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระ อารียาขอแนะนำว่าให้คุณรีบไปจัดการเคลียร์หนี้สินเหล่านั้นให้เป็น 0 หรือเหลือน้อยที่สุดก่อนการยื่นขอสินเชื่อบ้าน เพราะหนี้สินเหล่านั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อการพิจารณาความสามารถทางการผ่อนชำระของผู้กู้ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้กู้ได้รับวงเงินสินเชื่อที่น้อยลง หรืออาจถูกทางสถาบันการเงินปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อบ้านก็เป็นได้

   5. เลือกบ้านที่โดนใจ

หลังจาก 4 ขั้นตอนที่ผ่านมา คราวนี้ก็ถึงเวลาเลือกบ้านในฝันให้เหมาะกับตัวคุณหรือครอบครัวกันแล้ว โดยการเลือกบ้านภายหลังจากที่รู้ขีดความสามารถทางการผ่อนชำระในแต่ละเดือนของตัวเองหรือครอบครัวเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาลำดับถัดมามีดังต่อไปนี้

  • ทำเลการเดินทาง บ้านที่ดีต้องอยู่บนทำเลที่สะดวกสบายต่อทุกคนในครอบครัว สิ่งสำคัญคือควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ เช่น ถนนสายหลัก ทางด่วน ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น

  • เลือกประเภทของที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของครอบครัว หากคุณเป็นครอบครัวใหญ่ที่ต้องการพื้นที่เพื่อรองรับการอยู่อาศัยของคนในครอบครัว ‘บ้านเดี่ยว’ เป็นตัวเลือกที่ตรงโจทย์มากที่สุด หรือหากคุณเป็นคู่รักที่อาจมีลูกน้อย 1-2 คน ‘บ้านแฝด’ ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ยังคงสเปซกว้าง ในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหากคุณเป็นคนรุ่นใหม่ที่อยากจะขยับขยายที่อยู่อาศัยจากคอนโดมิเนียมหรือที่อยู่อาศัยเดิม เพื่อรองรับชีวิตการอยู่อาศัยที่กว้างขึ้น สำหรับตัวคุณและคนรัก ‘ทาวน์โฮม’ (Townhome)  ถือเป็นตัวเลือกที่ลงตัว ในราคาที่จับต้องได้และอยู่บนทำเลใกล้เมือง

  • โครงการบ้านมีชื่อเสียง เชื่อถือได้ เพราะการซื้อบ้านเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เหมือนกับโครงการอารียา ผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ที่มุ่งสร้างความสุขที่ยั่งยืน และสร้างความแตกต่างอย่างโดดเด่น ทั้งในเรื่องการออกแบบ คุณภาพการก่อสร้าง และการบริการ เพื่อให้ลูกบ้าน ชุมชน และสังคม มีความเป็นอยู่ที่ดีและเปี่ยมสุข ด้วยแนวความคิด “สุนทรียะในการใช้ชีวิต” ( Aesthetic of Living) ลูกค้าทุกคนจึงมั่นใจได้ว่าบ้านอารียา คือบ้านที่ดีสำหรับวันนี้และอนาคต

หากคุณกำลังมองหาบ้านในฝันของครอบครัว ราคาบ้านเริ่มต้นต่ำกว่า 2 ล้านบาท และอยู่บนทำเลที่สะดวกสบายต่อการเดินทางเข้าและออกเมือง อารียามีโครงการบ้านดีๆ สำหรับครอบครัวคนรุ่นใหม่มาแนะนำกัน กับโครงการ THE COLORS (เดอะ คัลเลอร์ส) แบบบ้านสองชั้นในรูปแบบทาวน์โฮม ฟังก์ชันเทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นสเปซกว้างตอบโจทย์ทุกแอคทิวิตี้ของทุกคนในครอบครัว ราคาบ้านเริ่มต้น 1.89 ล้าน* บน 5 ทำเลรอบเมือง ได้แก่

นอกจากนี้ บ้านอารียายังมีอีกหลากหลายโครงการ บนทำเลใกล้คุณ สามารถดูโครงการอารียาเพิ่มเติมได้ ที่นี่

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนน่าจะได้คำตอบกันแล้วว่า เงินเดือน 15,000 ก็สามารถซื้อบ้านได้ เพียงคุณเช็กลิสต์ตัวเองตาม 5 ขั้นตอนข้างต้น บ้านในฝันก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก

ddproperty

awsa

โปะบ้านแบบไหนหมดไวและคุ้มค่า

 

การกู้ซื้อบ้าน เป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่ต้องผ่อนชำระเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน โดยทางธนาคารจะกำหนดตารางการผ่อนชำระรวมดอกเบี้ยมาให้ตามระยะเวลาการกู้ แต่รู้หรือไม่ว่าถ้าผ่อนตามจำนวนที่ธนาคารกำหนดมาให้นั้น ดอกเบี้ยที่ต้องชำระทั้งหมดรวมกันแล้วเกือบเท่าหนึ่งของราคาบ้านเลยทีเดียว ทั้งนี้มีวิธีที่จะสามารถช่วยทำให้ดอกเบี้ยลดน้อยลงด้วย “3 วิธีโปะหนี้บ้าน” ซึ่งจะช่วยทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องชำระลดลง รวมถึงระยะเวลาในการผ่อนก็จะสั้นลง ทำให้หนี้ที่ผ่อนชำระอยู่หมดไวก่อนกำหนดได้อีกด้วย มาดูกันว่าทั้ง 3 วิธีต้องทำอย่างไรบ้าง

1. โปะเงินต้น

การผ่อนชำระค่าบ้านจะเป็นการผ่อนแบบ “ลดต้นลดดอก” ยิ่งโปะจ่ายมากดอกก็จะยิ่งลดลงตามไปด้วย โดยการโปะเงินต้นเป็นการชำระค่าบ้านเกินกว่าที่ทางธนาคารกำหนด โดยจำนวนเงินที่จ่ายเกินจากจำนวนที่กำหนดนั้น จะถูกนำไปโปะในส่วนของเงินต้น ซึ่งจะส่งผลให้การคิดดอกเบี้ยในเดือนถัดไปลดน้อยลงกว่าเดิม โดยการโปะเงินต้นสามารถโปะชำระได้ 2 แบบ ได้แก่ การโปะจ่ายค่างวดให้มากขึ้นในทุกๆ เดือน และการจ่ายเป็นก้อนใหญ่ๆ ปีละ 1-2 ครั้งในช่วงที่มีรายได้จากโบนัส หรือเงินปันผล เป็นต้น

โดยยกตัวอย่างการโปะชำระ เช่น หากธนาคารกำหนดให้ผ่อนชำระเดือนละ 10,000 บาท แต่ชำระเพิ่มขึ้น 50% ในทุกๆ เดือน เป็นจำนวนเงิน 15,000 บาท ก็จะช่วยลดระยะเวลาการผ่อนบ้านได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

2. รีไฟแนนซ์ หรือขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย

การรีไฟแนนซ์ (Refinance) เป็นวิธีขอยื่นกู้กับธนาคารอื่นเพื่อลดอัตราเบี้ยจากเดิมที่เคยจ่ายอยู่ เนื่องจากการกู้บ้านโดยส่วนใหญ่แล้วจะมีโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำ ในช่วง 3 ปีแรก หลังจากนั้นดอกเบี้ยจะเด้งสูงขึ้น หากทำการรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นที่มีโปรโมชั่น โดยทำเรื่องยื่นกู้ใหม่ ก็จะช่วยทำให้ได้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าธนาคารเดิมนั่นเอง ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือการขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย (Retention) เป็นการลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมที่ใช้บริการอยู่ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนธนาคารใหม่ เพียงทำเรื่องยื่นขอลดดอกเบี้ยลงเท่านั้น ซึ่งดอกเบี้ยที่ขอลดอาจจะไม่ได้ต่ำลงเท่าการย้ายธนาคารใหม่ แต่ก็เป็นการลดดอกเบี้ยลงจากเดิมและไม่ยุ่งยากในการเตรียมเอกสารเพื่อขอยื่นกู้ใหม่นั่นเอง

3. ชำระหนี้ให้ตรงเวลา

การไม่ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นด้วยวิธีการชำระหนี้ให้ตรงเวลา นอกจากจะเป็นการรักษาเครดิตให้มีความน่าเชื่อถือแล้ว ในกรณีที่ต้องการรีไฟแนนซ์ หรือการยื่นขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารจะพิจารณาจากประวัติการผ่อนชำระเป็นอันดับแรก หากเป็นลูกหนี้ที่ดี มีการผ่อนชำระที่ตรงเวลาและไม่เคยมีปัญหาใดๆ โอกาสในการยื่นกู้เพื่อขอดอกเบี้ยที่ต่ำลง ก็สามารถต่อรองกับทั้งธนาคารที่จะทำการรีไฟแนนซ์ หรือขอปรับลดดอกเบี้ยได้อย่างเรียบรื่นเช่นกัน

ทั้ง 3 วิธีที่กล่าวมานี้จะเป็นตัวช่วยให้การลดดอกเบี้ยบ้านให้คุณได้ลดภาระการผ่อนบ้านในระยะยาวให้สั้นลง แถมดอกเบี้ยโดยรวมทั้งหมดยังลดลงอีกด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้หมดภาระหนี้บ้านได้รวดเร็วขึ้น อารียาขอเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยนำเสนอข้อมูลดีๆ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนอยากมีบ้าน และปลดหนี้ได้ไวๆ นะคะ

awsa