เคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อน

เคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อน

หน้าร้อนกำลังมา! คุณได้เตรียมความพร้อมเพื่อสู้กับความร้อนและถนอมบ้านที่รักแล้วหรือยัง โดยปกติแล้วประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี ซึ่งกินระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง นอกจากการดูแลสุขภาพตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอแล้ว การดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อนก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจ อารียาจึงขอหยิบยกเคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อนเพื่อบ้านที่คุณรักมาฝากกันค่ะ

1. ดูแลเครื่องปรับอากาศ

เครื่องปรับอากาศเป็นหนึ่งในตัวช่วยอันดับต้นๆ ที่สามารถทำให้อากาศร้อนๆ เย็นสบายขึ้นได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งการทำงานของเครื่องปรับอากาศในหน้าร้อนจะทำให้เครื่องทำงานหนักมากกว่าปกติ สิ่งที่จะช่วยถนอมการใช้งานเครื่องปรับอากาศได้นั้น ควรตรวจเช็คการใช้งานให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง และทำการล้างเครื่องปรับอากาศในทุกๆ 6 เดือน เพื่อขจัดฝุ่นที่อุดตันในแผ่นกรอง ทำให้ตัวเครื่องปรับอากาศทำงานได้สะดวกและยังกินไฟน้อยลงด้วย

2. ลดอุณหภูมิตัวบ้าน

การที่แสงแดดตกกระทบมายังตัวบ้านทั้งภายนอกและภายในคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถป้องกันแสงแดดและความร้อนที่จะเข้ามายังตัวบ้านให้ลดน้อยลงได้ ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิทำให้บ้านเย็นขึ้น และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

  • เลือกทาสีบ้านโทนอ่อน การทาสีบ้านโทนเข้มจะดูดกลืนความร้อนมากกว่าบ้านโทนสีอ่อน โดยสีโทนอ่อนนั้นจะช่วยให้ตัวบ้านดูดกลืนแสงแดดและความร้อนน้อยลง จึงทำให้บ้านเย็นขึ้น
  • ทาสีบ้านป้องกันแสง UV เป็นนวัตกรรมสีทาบ้านที่มีคุณสมบัติสะท้อนรังสี UV ที่มาจากแสงแดด และยังช่วยให้สีผนังไม่หลุดลอกง่ายแม้แดดแรง
  • ติดตั้งสปริงเกอร์บนหลังคา การติดตั้งตัวฉีดน้ำ หรือสปริงเกอร์ไว้บนหลังคาบ้าน ละอองน้ำที่กระจายไปบนหลังคาจะช่วยลดอุณหภูมิของบ้านได้ 1-2 องศาเซลเซียส นอกจากจะลดความร้อนแล้วยังสร้างบรรยากาศชุ่มฉ่ำให้กับตัวบ้านด้วย
  • เปิดประตูหน้าบ้านและหลังบ้านเพื่อระบายอากาศ การเปิดประตูหน้าบ้านและหลังบ้านทิ้งไว้พร้อมกันจะเป็นช่องทางลมที่ทำให้มีการหมุนเวียนของอากาศเข้าและออก ทำให้ตัวบ้านมีอากาศถ่ายเทไม่อบอ้าว ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิของบ้านได้

3. ดูแลปกป้องเฟอร์นิเจอร์

แสงแดดที่ร้อนแรงอาจเป็นศัตรูที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์เสียหายได้ เช่น เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากพลาสติก เมื่อโดนแดดนานๆ จะทำให้เปราะแตกง่าย หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากหนังเทียมอาจแห้งและแตกลายงา ในหน้าร้อนที่แดดแรงๆ แบบนี้จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดที่จะส่องมายังเฟอร์นิเจอร์โดยตรง และสามารถทำได้หลากหลายวิธี ได้แก่ ติดตั้งผ้าม่านเพื่อลดแสง ติดฟิล์มกันความร้อน ติดตั้งกันสาดบังแดด เลื่อนเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นหลบแสงแดด หรือใช้ผ้ามาคลุมเพื่อป้องกันเฟอร์นิเจอร์เสียหายจากความร้อน เป็นต้น

4. เพิ่มพื้นที่สีเขียว

การเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่บ้านด้วยการปลูกต้นไม้บริเวณรอบๆ บ้าน หรือหาต้นไม้ฟอกอากาศมาตั้งตามจุดต่างๆ ภายในบริเวณบ้าน ด้วยคุณสมบัติของต้นไม้ที่จะผลิตออกซิเจนในช่วงเวลากลางวัน ทำให้อากาศมีการถ่ายเท และบรรยากาศสดชื่นแล้ว ต้นไม้ที่ปลูกบริเวณรอบตัวบ้านยังเป็นเกราะกำบังความร้อนที่จะเข้ามายังตัวบ้านในช่วงเวลากลางวันได้เป็นอย่างดี

5. หมั่นทิ้งและแยกขยะ ช่วยลดโลกร้อน

เรื่องขยะอาจดูเป็นประเด็นที่ไม่สำคัญ  แต่นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ทุกวันนี้โลกของเราร้อนขึ้น  แถมในช่วงหน้าร้อนเชื้อโรคและแบคทีเรียจะมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมาย การทิ้งขยะและสิ่งหมักหมม จะช่วยขจัดเชื้อโรคได้ดีที่สุด ซึ่งการแยกขยะอย่างถูกวิธี นอกจากจะช่วยทำให้คัดแยกขยะได้ถูกประเภทแล้ว ยังสามารถนำขยะกลับมารีไซเคิลได้ไม่ยาก ทำให้ขยะที่ต้องกำจัดลดน้อยลง ลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแนวทางในการร่วมลดโลกร้อนได้อย่างยั่งยืน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการบ้านรักษ์โลก-ไร้ขยะ ใน Como Bianca Bangna จากอารียา ที่ทำให้ชีวิตการอยู่อาศัยทำให้คุณรักษ์โลกได้มากขึ้น คลิก

เคล็ดลับการดูแลบ้านในช่วงหน้าร้อนที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นทริคง่ายๆ ที่ทำให้การดูแลบ้านเป็นเรื่องเล็กๆ แถมยังปกป้องบ้านจากแสงแดด และความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน้าร้อนนี้ อารียาหวังว่าทุกคนจะได้พักผ่อนอยู่ในบ้านที่รักอย่างมีความสุขกันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

รักษ์โลกแบบง่ายๆ แค่เริ่มต้นจากที่บ้าน

7 แนวทางการใช้ชีวิตที่บ้านให้กลายเป็น Eco living

6 วิธีช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ช่วยโลก ช่วยเรา

awsa

7 เทคนิคการยื่นกู้บ้านให้ผ่านฉลุย

7 เทคนิคการยื่นกู้บ้านให้ผ่านฉลุย

การได้ครอบครองบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัยสักหลัง หากใครมีเงินเก็บที่มากพอก็สามารถซื้อเงินสดได้ในทันที แต่ถ้าหากใครที่ไม่มีเงินก้อน ก็มีทางเลือกในการซื้อบ้านได้ด้วยวิธีการยื่นกู้กับธนาคาร โดยขั้นตอนในการยื่นกู้จะต้องเตรียมเอกสารและความพร้อมเพื่อให้กู้ผ่านแบบง่ายๆ วันนี้อารียาขอนำเสนอเทคนิคในการเตรียมความพร้อมก่อนยื่นกู้บ้าน เพื่อให้คุณสามารถยื่นกู้บ้านผ่านได้ในครั้งเดียวมาฝากกันค่ะ

1. ประเมินสถานะทางการเงิน
การยื่นกู้บ้านหลักสำคัญคือการมีรายได้ เพื่อแสดงเป็นหลักฐานให้ธนาคารเห็นว่าคุณมีความพร้อมในการผ่อนชำระในทุกๆ เดือน ตลอดระยะเวลาสัญญากู้บ้านกับธนาคาร ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน โดยเงินในแต่ละเดือนที่คุณสามารถผ่อนชำระค่าบ้านได้ ไม่ควรเกิน 40% ของรายรับในแต่ละเดือน นอกจากนี้ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งควรประเมินความสามารถในการผ่อนของคุณเอง เพื่อหาบ้านที่มีราคาที่เหมาะสม และไม่เกินความสามารถของรายรับปัจจุบัน หากบ้านที่คุณต้องการมีราคาที่สูงเกินรายได้ ก็ควรเตรียมหาผู้กู้ร่วมเพื่อเพิ่มวงเงินและความสามารถในการผ่อนชำระที่สูงขึ้น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือนั่นเอง

วิธีการคำนวณวงเงินสินเชื่อ

(จำนวนเงินผ่อนต่อเดือน x 1,000,0000) ÷ 7,000

ตามสูตรโดยทั่วไปที่ธนาคารกำหนดความสามารถของผู้กู้ในการผ่อนชำระจะอยู่ที่เดือนละ 40% ต่อเดือน หากผู้กู้มีเงินเดือน 30,000 บาท จะสามารถผ่อนชำระรายเดือนได้ 12,000 บาท เมื่อนำไปใช้สูตรคำนวณวงเงินสินเชื่อสูงสุดจะได้ดังนี้

(12,000 x 1,000,0000) ÷ 7,000 = 1,714,285

ผลการคำนวณตามสูตรได้เท่ากับ 1,714,285 นั่นหมายถึงวงเงินกู้สูงสุดตามฐานเงินเดือนที่จะได้รับจากธนาคารคือ 1,714,285 บาท  ผู้กู้ก็สามารถมองหาบ้านที่ต้องการซื้อได้ในราคาไม่เกิน 1.7 ล้านบาท เพื่อทำการยื่นกู้ เป็นต้น

2. เก็บเงินเพื่อความชัวร์
ก่อนการกู้ซื้อบ้านควรมีการวางแผนเก็บเงินอย่างน้อย 10% ของราคาบ้าน สำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำสัญญาและการโอนที่คุณอาจต้องชำระเอง เพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉินในกรณีที่ยื่นกู้บ้านกับธนาคารไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการอนุมัติเต็มวงเงิน เช่น บ้านราคา 2 ล้านบาท แต่ธนาคารอนุมัติมาให้เพียง 1.8 ล้านบาท ก็ต้องหาเงินมาชำระเพิ่ม 2 แสน หากไม่สามารถหาเงินมาเติมเต็มในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ ก็อาจต้องปล่อยบ้านที่ต้องการซื้อไปอย่างน่าเสียดาย หรือในกรณีการยื่นกู้บ้าน และคุณมีเงินเก็บที่สามารถนำไปชำระเพิ่มเติมเป็นส่วนต่างของเงินดาวน์ก็จะยิ่งทำให้โอกาสในการได้รัการอนุมัติสูงขึ้นตามไปด้วย

3. รายการเดินบัญชีต้องสวย
สำหรับรายรับที่ต้องแสดงเพื่อเป็นหลักฐานในการยื่นกู้บ้าน ควรมีการเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ในกรณีที่ทำงานประจำ จะมีเงินเดือนเข้าบัญชีธนาคารอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ที่ทำงานอิสระ ก็สามารถทำรายการเดินบัญชีให้สวยได้ด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น นำรายได้ที่ได้ในแต่ละเดือนรวบรวบเข้าบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอในทุกเดือน โดยหลักสำคัญในการทำรายการเดินบัญชีธนาคารให้สวยนั้น เมื่อมีเงินเข้าบัญชีธนาคารแล้ว ไม่ควรกดเงินจำนวนนั้นออกมาในทันที ทางที่ดีควรทยอยนำออกมาใช้ และควรมีเงินเหลือติดบัญชีไว้บ้างในทุกๆ เดือน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารจะพิจารณารายการเดินบัญชีช่วงระยะเวลา 6-12 เดือน ก่อนการยื่นกู้ ผู้กู้จึงควรมีการวางแผนเดินบัญชีล่วงหน้า

4. สร้างเครดิตการเงินให้ดี
นากจากการมีรายได้แล้ว การสร้างเครดิตที่ดีเกี่ยวกับการเงินเป็นประเด็นสำคัญที่ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติการกู้บ้าน ยกตัวอย่าง เช่น การผ่อนชำระสินค้า การใช้บัตรเครดิต การกู้ซื้อของต่างๆ เหล่านี้ จะแสดงถึงประวัติทางการเงิน และวินัยทางการเงินที่ธนาคารสามารถตรวจสอบได้ว่าที่ผ่านมาคุณเคยมีประวัติการชำระเป็นเช่นไร มีการชำระอย่างสม่ำเสมอตรงตามรอบ หรือค้างจ่าย หรือ มีการจ่ายขั้นต่ำหรือไม่ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยทำธุรกรรมเหล่านี้มาก่อน และมีประวัติชำระที่ดี จะเป็นหลักฐานที่สร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสในการยื่นกู้ที่สูงกว่าผู้ที่ไม่เคยมีประวัติการใช้จ่ายใดๆ

5. เลี่ยงการค้างชำระ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้จ่ายการเงินผ่านทางเครดิต ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสด ก่อนยื่นกู้ควรเลี่ยงการค้างชำระ หากมีการใช้จ่ายๆ ใด ควรชำระเต็มจำนวนตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ควรสร้างประวัติการชำระหนี้ที่ดีย้อนหลังกลับไปไม่ต่ำกว่า 6 เดือน การใช้จ่ายจึงควรมีความรอบคอบ และใช้จ่ายในจำนวนที่สามารถชำระหมดได้ในแต่ละเดือน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ประวัติทางการเงินของคุณนั่นเอง

6. เคลียร์หนี้ให้เหลือน้อยที่สุด
ก่อนการยื่นกู้ควรมีการวางแผน และเคลียร์หนี้ที่เคยชำระอยู่ให้หมด หรือเหลือน้อยที่สุด เนื่องจากธนาคารจะพิจารณาทั้งรายรับ และภาระค่าใช้จ่ายในปัจจุบันประกอบกัน เพื่อดูความสามารถในการผ่อนชำระรายเดือน และวงเงินกู้บ้านที่จะได้รับ ยิ่งผู้กู้สามารถเคลียร์ค่าใช้จ่ายได้เท่าไหร่ นั่นหมายถึงวงเงินที่ได้รับก็จะเพิ่มสูงขึ้น หรืออาจได้เต็มวงเงินที่ขอยื่นกู้ไปทั้งหมดนั่นเอง

7. งดผ่อนสินค้าก่อนกู้
เมื่อมีแผนที่จะกู้ซื้อบ้านควรงดการผ่อนสินค้าใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนชำระแบบมีดอกเบี้ย หรือผ่อนชำระแบบ 0% รวมถึงกรณีทำการซื้อสินค้าให้คนอื่น หรือคนในครอบครัวผ่อนชำระแทน โดยอ้างว่าผู้อื่นเป็นคนชำระ ก็ไม่ควรทำ เพราะธนาคารจะพิจารณาภาระค่าใช้จ่ายที่กระทำภายใต้ชื่อและเครดิตของคุณทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลต่อวงเงินขอยื่นกู้บ้าน ที่อาจอนุมัติได้ไม่เต็มวงเงิน หรืออาจถูกปฏิเสธการยื่นกู้บ้านได้ เป็นไปได้ควรงดผ่อนช่วงก่อนการยื่นกู้ไปก่อน หากทำการกู้ผ่านแล้วค่อยดำเนินการผ่อนทีหลังก็สามารถทำได้

เทคนิคเตรียมความพร้อมที่กล่าวมาทั้ง 7 ข้อ เป็นการเตรียมตัวก่อนการยื่นกู้บ้าน หากทำครบตามที่แนะนำไป เมื่อถึงเวลาการยื่นกู้บ้านที่คุณต้องการ เพียงแค่เตรียมเอกสารตามข้อกำหนดของแต่ละธนาคารให้ครบถ้วนเรียบร้อย เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาและอนุมัติวงเงินกู้บ้านของคุณ เท่านี้การยื่นกู้ซื้อบ้านก็จะได้รับการอนุมัติอย่างรวดเร็วโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ อารียาขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้คุณได้มีบ้านในแบบที่คุณต้องการนะคะ

ดูโครงบ้านจากอารียาเพิ่มเติม คลิก

awsa

10 วิธียืดอายุการใช้งาน และดูแลบ้านให้น่าอยู่

10 วิธียืดอายุการใช้งาน และดูแลบ้านให้น่าอยู่

บ้านแต่ละหลังมีเมื่ออายุการใช้งานที่มากขึ้น อาจทำให้ดูเก่าและโทรมไปตามกาลเวลา แต่ถ้าผู้อาศัยหมั่นดูแลรักษาอยู่เสมอ บ้านก็จะน่ามอง ไม่ดูเก่าไปพร้อมกับอายุ การดูแลรักษาบ้านให้ดูใหม่ และน่าอยู่เสมอ นอกจากจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของบ้านให้ยาวนานไปพร้อมกับครอบครัวของเราได้อีกด้วย บทความนี้อารียาขอเสนอ 10 วิธีที่จะช่วยบำรุงและรักษาบ้านให้น่าอยู่มาฝากกันค่ะ

1. ความสะอาดบ้าน
ในยุคโควิดแบบนี้เชื่อว่าหลายๆ คนคงใช้ชีวิตอยู่บ้านมากกว่าแต่ก่อน เมื่อใช้ชีวิตอยู่บ้านก็ต้องเกิดพฤติกรรมการหยิบใช้ของและวางไม่เป็นที่เป็นทาง รวมถึงฝุ่นละอองในอากาศที่อาจปะปนมากับเชื้อโรค ทำให้ทุกวันของการอยู่บ้านควรต้องปัดกวาดเช็ดถูให้สะอาดอยู่เสมอ ข้าวของที่หยิบออกมาใช้ก็ควรจัดเก็บให้เรียบร้อย นอกจากนี้ยังควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน เช่น การเช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ที่สัมผัสบ่อยๆ ด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค เปลี่ยนผ้าปูที่นอน นำที่นอนออกตากแดด เพื่อป้องกันโรคที่มาพร้อมกับฝุ่น ทิ้งขยะทุกวันเพื่อไม่ก่อให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรค และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เป็นต้น

2.เช็ดถูห้องครัว
การทำกิจกรรมต่างๆ ในห้องครัวมักก่อให้เกิดเศษอาหาร คราบน้ำมัน กลิ่นสะสม ขยะ และมักเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น หลังการใช้งานห้องครัว ควรมีการทำความสะอาดทุกครั้ง จานชามที่ใช้งานแล้วไม่ควรวางแช่ในอ่างล้างจาน เศษอาหารควรมีการปิดปากถุงให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันเชื้อโรค มด หนู แมลงวัน แมลงสาบ หรือสัตว์ต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์ ที่อาจจะเป็นพาหะนำโรคมาสู่คุณและคนในครอบครัวได้

3. ตรวจเช็คท่อประปา
การตรวจเช็คท่อน้ำประปาภายในบ้านควรตรวจสอบอยู่เสมอ เพราะโอกาสในการรั่วซึมอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายทิ้งเปล่าแบบไม่คาดคิด การใช้งานจึงควรสังเกตมาตรน้ำ และปริมาณการใช้งานเทียบจากเดือนก่อนว่ามีปริมาณที่ผิดปกติหรือไม่ หากท่อน้ำส่วนไหนของบ้านเกิดการรั่วไหลควรปิดวาล์วน้ำเฉพาะจุด เพื่อหยุดการใช้งานชั่วคราว และทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนเปิดใช้งานอีกครั้ง

4. เช็คระบบไฟฟ้า
ปัจจุบันเครื่องใช้ภายในบ้านส่วนใหญ่มักต้องใช้กับระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น หลอดไฟส่องสว่าง ฯลฯ ซึ่งเครื่องใช้เหล่านี้ต้องใช้ไฟฟ้าแทบจะตลอดเวลา จึงควรหมั่นตรวจเช็คการใช้งาน ระบบสายไฟ และปลั๊กไฟตามจุดต่างๆ ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ หากมีอุปกรณ์ส่วนไหนชำรุด หรือเสียหายก็ควรซ่อมแซมหรือเปลี่ยนทันที เพียงเท่านี้ก็จะช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจรได้

5. เช็ครอยรั่วของหลังคาบ้าน
ประเทศไทยกับฤดูฝนมักเป็นของที่อยู่คู่กันมาทุกยุคสมัย หากเกิดฝนตกลงมาแล้วเกิดรอยรั่วตามจุดต่างๆ อาจทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาไหลเข้ามายังตัวบ้าน และทำให้เครื่องใช้ภายในบ้านเสียหาย รวมถึงตัวบ้านเอง ไม่ว่าจะเป็น ฝ้าเพดาน และผนังบ้าน ก็อาจชำรุดจากความชื้นที่รั่วซึมเข้ามาได้ จึงควรสังเกตในช่วงที่ฝนตก หากพบจุดรั่วซึมควรทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

6. จัดสวนให้ดูร่มรื่น
การดูแลรักษาบ้าน นอกจากในตัวบ้านแล้ว รอบนอกบ้านหากมีการจัดสวน หรือปลูกต้นไม้ ก็จะช่วยเพิ่มสีสัน และสร้างบรรยากาศโดยรอบบ้านให้ดูร่มรื่นไปด้วย นอกจากนี้ต้นไม้ที่ปลูกรอบบ้าน ยังช่วยลดความร้อนให้กับตัวบ้านได้อีกทาง ทั้งนี้ควรหมั่นตกแต่ง ตัดกิ่งไม้ กวาดเศษใบไม้อยู่เสมอ เพื่อความร่มรื่นสะอาดตา และป้องกันการหลบซ่อนของสัตว์มีพิษ

7. เช็ดทำความสะอาดพื้นกระเบื้อง
พื้นกระเบื้องที่เปียกหรือมีความชื้นมักก่อให้เกิดตะไคร่น้ำ ทำให้พื้นลื่น เป็นอันตรายต่อคนในบ้าน หากเดินเหยียบแล้วเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม จึงควรหมั่นขัดล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และควรเช็ดให้แห้ง นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบพื้นกระเบื้องที่แตกร้าว หากพบควรเปลี่ยนกระเบื้องหรือซ่อมแซมให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัยของคนในบ้าน

8. ดูแลสีและผนังบ้าน
บ้านบางหลังเมื่อใช้งานไปซักระยะสีผนังอาจเกิดฝุ่นคล้ายแป้ง นั่นหมายถึง สีบ้านเริ่มเสื่อมสภาพ หรืออาจเกิดสีโป่งพอง สีลอกล่อน จากความชื้น ผนังเกิดรอยร้าว ควรให้ช่างเข้ามาช่วยซ่อมแซมอุดรอย ทาสี ขัดเงา เพื่อให้บ้านคงสภาพเหมือนใหม่อยู่เสมอ

9. ป้องกันบ้านจากปลวก
หมั่นตรวจเช็คปลวกตามจุดต่างๆ หากพบว่ามีปลวกส่วนไหนของบ้านควรรีบหาวิธีกำจัด หรือใช้บริการของบริษัทรับกำจัดปลวกที่มีการรับประกันปลวกขึ้นบ้าน เพื่อการดูแลที่ต่อเนื่อง ไม่ให้ปลวกก่อปัญหาและสร้างความเสียหายให้แก่โครงสร้างของบ้านในอนาคต โดยเฉพาะเสาบ้าน และคาน ซึ่งเป็นส่วนโครงสร้างสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของบ้านให้อยู่ในสภาพดีเสมอ

10. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านที่มีคุณภาพ
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดบ้านโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมาะกับการดูแลบ้าน จะช่วยทำให้งานทำความสะอาดบ้านนั้นง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคราบในบริเวณต่างๆ ที่ขัดออกยาก ก็สามารถขัดล้างออกได้โดยไม่ทิ้งคราบสกปรก และไม่ทำลายพื้นผิวของบ้าน หรือทิ้งสารตกค้างที่เป็นอันตราย เพราะถ้าหากนำผลิตภัณฑ์ หรือน้ำยาอื่นๆ มาใช้ผิดประเภทอาจทำให้บ้านเกิดจากเสียหายได้เช่นกัน

awsa

อัพเดทล่าสุด! อัตราดอกเบี้ยบ้านปี 2565

อัพเดทล่าสุด! อัตราดอกเบี้ยบ้านปี 2565

สำหรับใครที่กำลังจะซื้อบ้านใหม่ และกำลังศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นกู้บ้าน วันนี้อารียาได้รวบรวมข้อมูลอัตราดอกเบี้ยการยื่นกู้ขอสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน และคอนโดของทั้ง 8 ธนาคาร อัพเดทล่าสุดของปี 2565 มาดูกันว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยของธนาคารไหนบ้างที่น่าสนใจ


หมายเหตุ: อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเฉลี่ย 3 ปีแรก เป็นไปตามเงื่อนไขที่แต่ละธนาคารกำหนด และเป็นการคำนวณในเบื้องต้นเท่านั้น ทั้งนี้อาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม

ธนาคารอาคารสงเคราะห์

สินเชื่อบ้านของธนาคารอาคารสงเคราะห์เรียกได้ว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในตอนนี้ เนื่องจากเป็นสินเชื่อจากนโยบายรัฐที่มีชื่อว่า “โครงการบ้านล้านหลัง” โดยอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 1.99% ต่อปี คงที่ไป 4 ปีแรก จำกัดวงเงินกู้ที่ 1.2 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี สามารถยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2564 จนสิ้นสุดระยะเวลาทำนิติกรรมในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 หรือเมื่อธนาคารให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของโครงการที่กำหนด

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ที่ โครงการบ้านล้านหลัง ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

สินเชื่อบ้านของธนาคารกรุงศรีอยุธยา อัตราดอกเบื้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดจะอยู่ที่ 2.55% โดยจะพิจารณาอนุมัติวงเงินสูงสุดที่ 100% ของราคาประเมิน สำหรับการยื่นกู้ซื้อคอนโด ส่วนอัตราดอกเบี้ยบ้านใหม่ / บ้านมือสอง ต่ำสุดเฉลี่ย 3 ปีแรกจะอยู่ที่ 3.97% ต่อปี โดยได้รับวงเงินสูงสุดที่ 90% ของราคาประเมิน และสำหรับกลุ่มอาชีพพิเศษ (แพทย์ สัตวแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร ผู้พิพากษา และนักบินพาณิชย์ จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 2.55% ต่อปี โดยวงเงินสูงสุดที่ได้รับอนุมัติอยู่ที่ 100% ของราคาประเมิน  ผู้กู้สามารถยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 – 30 เม.ย. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกรุงศรีอยุธยา

ธนาคารกรุงเทพ

สินเชื่อบ้านของธนาคารกรุงเทพ มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.73% ต่อปี สำหรับผู้ที่ประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เภสัชกรผู้มีรายได้ประจำ ผู้พิพากษา อัยการ และนักบินพาณิชย์ รวมไปถึงผู้ที่เป็นพนักงานประจำที่มีรายได้ 200,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป โดยสามารถผ่อนชำระได้นานสุด 30 ปี (ยกเว้นพนักงานประจำผ่อนชำระสูงสุด 35 ปี) โดยระยะเวลาในการยื่นกู้สำหรับดอกเบี้ยนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 – 31 มี.ค. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกรุงเทพได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกรุงเทพ

ธนาคารกรุงไทย

สินเชื่อบ้านของธนาคารกรุงไทย สำหรับบ้านใหม่มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.77% ต่อปี สำหรับการเลือกกู้แบบลอยตัว โดยอัตราดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา 3 ปี เท่ากับ MRR – 3.45 ในกรณีทำประกันวงเงิน และ MRR- 3.35 ในกรณีไม่ทำประกันวงเงิน ส่วนการยื่นกู้แบบคงที่ 1 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุด อยู่ที่ 2.80% ต่อปี ในกรณีทำประกัน และ 2.9% ต่อปีในกรณีไม่ทำประกัน โดยระยะเวลาในการยื่นกู้สำหรับดอกเบี้ยนี้ ต้องยื่นภายในวันที่ 31 มี.ค. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกรุงไทยได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกรุงไทย

ธนาคารออมสิน

สินเชื่อบ้านของธนาคารออมสิน ออกโปรตัวแรงมาใหม่ โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.45% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบวิชาชีพเฉพาะ ได้แก่ กลุ่มวิชาชีพแพทย์ กลุ่มข้าราชการอัยการและตุลาการ กลุ่มวิชาชีพนักบิน กลุ่มวิชาชีพวิศวกร และอาจารย์มหาวิทยาลัย ส่วนกลุ่มลูกค้าทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดจะอยู่ที่ 2.60% ต่อปี โดยระยะเวลาในการยื่นกู้สำหรับดอกเบี้ยนี้ สามารถทำการยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย. 2565 – 31 พ.ค. 2565

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารออมสินได้ที่ สินเชื่อเคหะธนาคารออมสิน

ธนาคารทหารไทยธนชาต

สินเชื่อบ้านของธนาคารทหารไทยธนชาต มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ต่ำสุดอยู่ที่ 2.75% ต่อปี ซึ่งมีเงื่อนไขในการกู้ โดยจะต้องซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามที่ธนาคารกำหนดไว้ ซึ่งมีรายชื่อทั้งหมด 70 บริษัท และหนึ่งในนั้นรวมถึง บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ด้วย โดยการกู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโดในราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท จะอนุมัติวงเงินสูงสุดที่ 100% ของราคาซื้อขาย หรือราคาประเมิน หากเกิน 10 ล้านบาท วงเงินอนุมัติจะลดลงมาเหลือ 90% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารทหารไทยธนชาตได้ที่ สินเชื่อบ้านใหม่ธนาคารทหารไทยธนชาต

ธนาคารกสิกรไทย

สินเชื่อบ้านของธนาคารกสิกรไทย ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 7.72% ต่อปี สำหรับพนักงานที่มีรายได้ประจำ และ 8.22% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการ โดยวงเงินจะอนุมัติไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขาย หรือราคาประเมินหลักประกัน นอกจากนี้ ยังมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับการกู้ซื้อสินทรัพย์รอการขายของธนาคารกสิกรไทย โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 3.39% ต่อปี

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารกสิกรไทยได้ที่ สินเชื่อบ้านธนาคารกสิกรไทย

ธนาคารไทยพาณิชย์

สินเชื่อบ้านของธนาคารไทยพาณิชย์ มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกต่ำสุดอยู่ที่ 5.95% ต่อปี สำหรับลูกค้าทั่วไป  โดยมีอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ตั้งแต่ปีที่ 1-3 โดยจะพิจารณาอนุมัติวงเงินสูงสุด 100% จากราคาซื้อขายจริง ในกรณีที่หลักประกันมีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 ล้านบาท และพิเศษกว่าสำหรับลูกค้าโครงการ / องค์กร จะได้รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยขึ้นอยู่กับโครงการ หรือประเภทองค์กร

ศึกษารายละเอียดการกู้บ้านกับธนาคารไทยพาณิชย์ได้ที่ สินเชื่อซื้อบ้านใหม่ธนาคารไทยพาณิชย์

อย่างไรก็ตามข้อมูลดอกเบี้ยบ้านที่ทางอารียาได้รวบรวมมาข้างต้น เป็นเพียงข้อมูลอัตราดอกเบี้ยในเบื้องต้นเท่านั้น ทั้งนี้ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามเงื่อนไขของธนาคาร ดังนั้นก่อนการยื่นกู้ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม และสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อของแต่ละธนาคาร เพื่อการตัดสินใจในการยื่นกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่คุณพึงพอใจมากที่สุด

awsa

รักษ์โลกแบบง่ายๆ แค่เริ่มต้นจากที่บ้าน

รักษ์โลกแบบง่ายๆ แค่เริ่มต้นจากที่บ้าน

บ้านถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ 4 ประการสำหรับการใช้ชีวิต คนเรามักรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อได้อาศัยอยู่ที่บ้าน ดังนั้นโลกก็ถือว่าเป็นบ้านของเราทุกคน และคงจะดีไม่น้อย ถ้าบ้านทุกๆ หลังที่ตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ได้มีส่วนช่วยในการดูแลรักษาโลกที่เป็นที่อาศัยของทุกคนให้น่าอยู่ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกๆ คนสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยรักษาโลก และสิ่งแวดล้อมได้ง่ายๆ  ด้วยการเริ่มต้นจากที่บ้านของเรานั่นเอง

1. สร้างสุขภาวะรอบบ้านให้น่าอยู่
การสร้างสุขภาวะที่ดีให้แก่ตัวบ้าน นับเป็นการดูแลรักษา และสร้างสุขอนามัยให้กับตัวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกวาดสิ่งของที่วางรกให้ดูเรียบร้อย ไม่ปล่อยให้บริเวณบ้านมีสิ่งหมักหมม หรือน้ำขัง ที่จะก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ และสัตว์อันตราย ปรับพื้นที่รอบบ้านทำเป็นสวน ปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มออกซิเจน และยังช่วยลดความร้อนที่เข้ามาประทะตัวบ้านได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้นอกจากจะช่วยปรับที่อยู่อาศัยให้น่าอยู่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ผู้ที่อยู่อาศัยก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีไปด้วย

2. ลดการใช้พลังงาน ลดมลพิษภายในบ้าน
การใช้พลังงานต่างๆ ในปัจจุบัน คงยากที่จะหยุดใช้ไปในทันที ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่การลดทอน และใช้พลังงานอย่างพอดีและรู้คุณค่า จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้การใช้ชีวิตภายในบ้านนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดเจนจาก บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ที่เรียกเก็บในทุกเดือน หรือปริมาณขยะของเสียที่ต้องทิ้งในทุกวัน หากเราใช้อย่างพอดี ปิดน้ำ-ไฟทุกครั้งหลังใช้งาน หรือมีการรีไซเคิลของเหลือใช้เพื่อลดปริมาณขยะ เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยโลกของเราได้เช่นกัน

3. แยกขยะถูกวิธี ดีต่อโลก
ในทุกๆ วันคนเรามักทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดขยะมากมาย ซึ่งยังมีบ้านเรือนอีกมากที่ไม่แยกขยะ เพราะสะดวกในการรวมถุงทิ้ง จึงทำให้เกิดขยะที่ต้องกำจัดมากมาย และก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่จะดีกว่าไหม! ถ้าการแยกขยะจะช่วยรักษ์โลกได้ เพราะนอกจากคัดแยกขยะได้ถูกประเภทแล้ว ยังสามารถนำขยะกลับมารีไซเคิลได้ไม่ยาก ทำให้ขยะที่ต้องกำจัดลดน้อยลง ลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก

ปัจจุบันโครงการบ้านจากอารียาได้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะ จนเกิดเป็นโครงการบ้านรักษ์โลก-ไร้ขยะ ต้นแบบวิถีชีวิต มินินอล อีโค่ ลิฟวิ่ง ซึ่งได้เปิดตัวโครงการนำร่องอย่าง Como Bianca Bangna เมื่อปี 2564 และมีแนวทางที่จะช่วยผลักดันให้ทุกโครงการเป็น Zero Waste Society อย่างแท้จริง โดยมาพร้อมกับนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการรักษา และใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้มากยิ่งขึ้น ดังนี้

  • การติดตั้งเครื่องเปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ย (Food Waste Decomposer Machine) ช่วยเปลี่ยนขยะเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย สามารถนำไปใช้บำรุงดิน ปลูกพืชผักได้
  • จัดเตรียมถังแยกขยะและถังรีไซเคิลภายในบ้านทุกหลัง โดยมีป้ายบอกอย่างชัดเจน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกขยะที่ถูกต้อง และสร้างวินัยในการแยกขยะในชีวิตประจำวัน
  • เปลี่ยนขยะให้เป็นเงิน ผ่านแอปพลิเคชัน Recycle Time นอกจากการแยกขยะแล้ว ทุกบ้านยังสามารถเอาขยะที่แยกนั้นมาเปลี่ยนเป็นเงินได้กับทางโครงการรับซื้อขยะ ซึ่งเป็นโครงการพิเศษสำหรับลูกบ้านอารียาเท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการบ้านรักษ์โลก-ไร้ขยะ จากอารียา คลิก

4. ใช้เทคโนโลยีทดแทนพลังงานธรรมชาติ
อุปกรณ์เครื่องใช้ที่ช่วยลด และทดแทนการใช้พลังงานจากธรรมชาติเป็นทางเลือกใหม่ที่ทำให้ลดการใช้พลังงานลง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้เครื่องไฟฟ้าที่กินไฟน้อย การใช้หลอดประหยัดไฟแบบ LED หรือหลอดไฟพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ ฯลฯ ที่ยกตัวอย่างมาทั้งหมดนี้ใช่ว่าจะต้องปรับในคราวเดียว แต่สามารถวางแผนและปรับใช้ไปทีละอย่างตามความจำเป็นได้ ก็จะช่วยลดการใช้พลังงานลงในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

การเริ่มรักษ์โลกจากที่บ้าน อาจต้องอาศัยการวางแผน และการปรับเปลี่ยนทั้งความคิดและพฤติกรรมที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ รวมไปถึงการปลูกฝังลูกหลานให้มีความเข้าใจ และตระหนักให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม การเริ่มต้นจากที่บ้านอาจเป็นจุดเล็กๆ ของสังคม แต่ถ้าทุกครอบครัวร่วมด้วยช่วยกันรักษ์โลก ก็จะช่วยทำให้โลกใบนี้กลายเป็นสีเขียว และน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

awsa

5 จุดสำคัญ เตรียมทำความสะอาดบ้านต้อนรับเทศกาลตรุษจีน

5 จุดสำคัญ เตรียมทำความสะอาดบ้านต้อนรับเทศกาลตรุษจีน

วันตรุษจีน ปี 2565 ตรงกับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งวันตรุษจีนถือเป็นวันปีใหม่ตามปฏิทินจีน เรียกได้ว่าเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ของปี เพราะฉะนั้นจึงมีพิธีเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตและครอบครัว โดยชาวไทยเชื้อสายจีนจะมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ 3 วัน ได้แก่ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว นอกจากการกระทำต่างๆ ที่เสริมความเป็นสิริมงคลแล้วก็ยังมีข้อห้ามเกี่ยวกับวันตรุษจีน หนึ่งในนั้นคือ ห้ามทำความสะอาดบ้านในช่วงวันตรุษจีน ตามความเชื่อของจีนโบราณ การทำความสะอาดบ้านในวันปีใหม่ จะเป็นการนำพาโชคลาภออกไปจากบ้าน สำหรับใครที่รักความสะอาด และชอบความเป็นระเบียบ ก็ควรทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนช่วงวันตรุษจีนในวันที่ 30 มกราคม 2565 นั่นเอง
การทำความสะอาดบ้าน นอกจากจะเป็นการทำให้บ้านน่าอยู่และเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อเตรียมรอต้อนรับญาติพี่น้องในวันตรุษจีนแล้วนั้น การทำความสะอาดให้ครบทุกจุดสำคัญของบ้าน ก็ยังช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้บ้านสามารถเปิดรับทรัพย์ได้อย่างเต็มที่ จึงขอแนะนำ 5 จุดสำคัญในการทำความสะอาดบ้านเพื่อเตรียมต้อนรับวันตรุษจีน

1.    เช็ดล้างหน้าบ้าน
บริเวณหน้าบ้านถือเป็นจุดเริ่มต้นของโชคลาภ เงินทองที่จะไหลเข้ามาสู่ตัวบ้าน การทำความสะอาดขัดล้างสิ่งสกปรก รวมถึงการรื้อสิ่งของที่ไม่จำเป็นออก หรือจัดข้าวของที่อยู่บริเวณหน้าบ้านให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อไม่ให้มีอะไรมากีดขวางโชคลาภ หากหน้าบ้านมีที่เหลือ จะหาต้นไม้มงคลมาวางเป็นคู่ ก็จะช่วยเพิ่มสีสัน เพิ่มความเป็นสิริมงคล และช่วยดึงดูดโชคลาภให้เข้ามาสู่ตัวบ้านได้อีกแรง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าทางเข้าบ้านได้พร้อมเปิดรับทรัพย์ให้ไหลมาเทมากันได้อย่างเต็มที่

2.    ขัดล้างห้องครัว
ห้องครัว เปรียบเป็นอู่ข้าว อู่น้ำของบ้าน เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้ของทุกคนในครอบครัว การขัดล้างทุกซอกทุกมุมของครัว รวมถึงเครื่องใช้ต่างๆ ที่อยู่ในครัวก็ควรนำออกมาเช็ดล้างให้อยู่ในสถานะที่พร้อมใช้ ไม่มีฝุ่นเกาะ นอกจากนี้ หากมีอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวชำรุดเสียหาย หรือมีจาน ชาม แก้วน้ำที่แตกบิ่น ก็ควรนำไปทิ้งให้หมด เพราะทางความเชื่อของชาวจีน จาน ชาม หรือแก้วน้ำที่บิ่น และแตกร้าว จะนำพาสิ่งไม่เป็นมงคล นำพาเรื่องไม่ดี และอาจทำให้คนในครอบครัวเกิดการทะเลาะเบาะแว้งจากคำพูด ทำให้การงานไม่เจริญก้าวหน้า มีสิ่งอัปมงคลมาขัดขวางความเจริญนั่นเอง

3.    จัดห้องนอนให้เป็นระเบียบ และสะอาด
ห้องนอน ถือเป็นห้องส่วนตัว ซึ่งเป็นห้องเก็บพลังชีวิตที่จะส่งเสริมเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว รวมไปถึงเรื่องสุขภาพ การทำความสะอาดห้องนอน เช็ดฝุ่นตามจุดต่างๆ จัดข้าวของในห้องนอนให้เป็นระเบียบ นำที่นอนออกตากแดด เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และเปิดหน้าต่างประตูเพื่อให้อากาศได้ถ่ายเท ก็จะช่วยทำให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่ผ่องใส ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวก็จะดีตามไปด้วย

4.    ชำระล้างห้องน้ำ
ห้องน้ำตามหลักฮวงจุ้ยนั้น มองห้องน้ำเป็นแหล่งพลังงานด้านลบที่วนเวียนจุดหนึ่งของบ้าน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และความร่ำรวยของผู้อยู่อาศัย ตัวช่วยในการลดพลังงานด้านลบออกไปเพื่อเตรียมต้อนรับสิ่งดีๆ ก่อนวันตรุษจีน สามารถลดพลังด้านลบได้ด้วยการทำความสะอาดห้องน้ำให้สะอาดสะอ้าน ขัดล้างพื้นห้องน้ำ รวมถึงสุขภัณฑ์ไม่ให้มีคราบดำ จัดข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องน้ำให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ง่ายต่อการหยิบใช้ การทำความสะอาดห้องน้ำเพียงเท่านี้ก็จะช่วยล้างพลังงานด้านลบไม่ให้เป็นตัวกีดขวางโชคลาภที่จะไหลเข้ามายังตัวบ้านในช่วงวันตรุษจีน

5.    สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด สดใส
การเลือกใส่เสื้อผ้าใหม่ที่สะอาด สีสันสดใสในวันตรุษจีน ถือเป็นเคล็ดลับของความเป็นสิริมงคล เตรียมพร้อมรับโชคในวันตรุษจีน โดยเสื้อผ้าที่เลือกมาสวมใส่นั้นจะเป็นเสื้อผ้าที่หาซื้อมาใหม่ หรือเป็นเสื้อผ้าที่เคยใส่แล้วแต่ยังดูใหม่ ก็สามารถนำมาสวมใส่ได้ เพียงซักทำความสะอาดให้เรียบร้อย โดยเสื้อผ้าที่นำมาใส่ในช่วงตรุษจีน ควรเน้นสีมงคล ได้แก่ สีแดง หรือสีทอง เพราะเป็นสีของความสุข และความมงคล ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังงานบวกให้กับตัวผู้ใส่รวมถึงครอบครัวให้มีชีวิตราบรื่น และประสบความสำเร็จตลอดปี

การทำความสะอาดจุดสำคัญทั้ง 5 ที่กล่าวมาข้างต้น นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเตรียมพร้อมในการรับพลังงานบวก และโชคลาภที่กำลังจะเข้ามาในวันตรุษจีนนี้ จึงไม่ควรมองข้าม และควรเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงช่วงตรุษจีนบ้านเรือนก็จะสะอาดเรียบร้อย พร้อมต้อนรับญาติพี่น้องกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา รับรองว่าตรุษจีน และตลอดทั้งปีนี้ คุณและครอบครัวจะได้รับความสุข ความเป็นสิริมงคล และโชคลาภกันอย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน

awsa

Therapeutic Garden การจัดสวนเพื่อบำบัดจิตใจและคลายเครียด

Therapeutic Garden การจัดสวนเพื่อบำบัดจิตใจและคลายเครียด

เมื่อพูดถึงเรื่องธรรมชาติ เรามักจินตนาการถึงภูเขา ต้นไม้ สายน้ำ รวมถึงกลิ่นและเสียงของธรรมชาติ ที่ๆ ทำให้ทุกครั้งของการมองและสัมผัส รู้สึกถึงความผ่อนคลาย การปลดระวางจากความวุ่นวาย และทำให้จิตใจสงบมากยิ่งขึ้น เพราะธรรมชาติอยู่คู่กับมนุษย์มาหลายล้านปี เป็นต้นกำเนิดของน้ำ และอากาศที่เป็นออกซิเจนบริสุทธิ์ให้แก่ปอดของมนุษย์มาอย่างยาวนาน เรียกได้ว่าธรรมชาติเป็นตัวบำบัดให้ทั้งร่างกายและจิตใจในคราวเดียวกัน แต่ในสังคมเมืองปัจจุบันที่มีการก่อสร้างตึก อาคาร ถนน รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จนถูกขนานนามว่าเป็นเมืองคอนกรีต ทำให้ธรรมชาติในตัวเมืองลดน้อยลง แต่ถ้าเราสามารถนำธรรมชาติกลับคืนมาไว้รอบๆ บ้านของเราได้ ก็คงจะดีไม่น้อย

“Therapeutic Garden คือ สวนเพื่อการบำบัดรักษา ที่จะช่วยเยียวยาทั้งร่างกายและหัวใจ”

เมื่อเราเข้าใจดีเกี่ยวกับการนำธรรมชาติมาช่วยฟื้นฟูและบำบัดจิตใจได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดเกี่ยวกับ Therapeutic Garden ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับสิ่งปลูกสร้าง การออกแบบบ้านเรือน อาคาร การออกแบบสวนที่คำนึงถึงความซับซ้อนในหลากหลายมิติ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันที่คนเรากำลังเผชิญกับโรคภัย และภาวการณ์ระบาดของโรค ทำให้เกิดประเด็นของสุขภาพ ซึ่งเรากำลังประสบปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการจัดการกับพื้นที่สวนจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญที่มีส่วนช่วยในการรับมือ และบำบัดสุขภาพให้ดีขึ้น ในแง่ของการออกแบบตกแต่ง เราจึงหยิบยกเรื่องของ Therapeutic Garden หรือสวนที่จะช่วยบำบัดร่างกาย และจิตใจในภาวะโรคระบาดนี้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นในแง่ของการออกแบบจึงมองสวนในฐานะเป็นพื้นที่บำบัด สร้างความผ่อนคลาย และปัดเป่าความเครียดให้ลดน้อยลง
ด้วยตัวคอนเซปต์ของ Therapeutic Garden มีแนวทางในการช่วยจัดพื้นที่สวนเพื่อช่วยบำบัดได้หลายรูปแบบดังนี้

สร้างการมองเห็นอย่างสบายตา
ต้นไม้ชนิดต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีเขียวที่ทำให้ดูสบายตากันอยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกพันธุ์ไม้ที่มีดอกไม้หลากสีสัน จะช่วยสร้างสีสันที่หลากหลาย สายตาของคนเราจะรับรู้ถึงการตัดกันของสี เกิดความแตกต่างให้กับการมองเห็น ซึ่งช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้ และทำให้รู้สึกสดชื่นและตื่นตัว

สร้างการได้ยินที่ช่วยผ่อนคลาย
การสร้างประสาทสัมผัสการได้ยินให้เข้าใกล้ธรรมชาติเป็นอีกข้อที่ช่วยสร้างความผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงแมลงบิน เสียงกิ่งไม้เสียดสีกัน เสียงใบไม้พัดไหวไปตามสายลม หรือใครจะติดตั้งน้ำพุ หรือน้ำตกเล็กๆ บริเวณบ้าน ทำให้ได้ยินเสียงน้ำไหล ก็ช่วยสร้างบรรยากาศความเป็นธรรมชาติได้มากทีเดียว

สร้างกลิ่นที่รู้สึกถึงความสดชื่น
ปกติเมื่อเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เรามักจะได้กลิ่นสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงกลิ่นดิน กลิ่นธรรมชาติเหล่านี้สามารถทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ นอกจากนี้กลิ่นของต้นไม้ประเภทไม้ดอกหลายชนิด ก็มีกลิ่นหอมที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่าง เช่น มะลิ พุดน้ำบุศย์ กรรณิการ์ จะมีกลิ่นหอมในช่วงเวลากลางคืน ดอกจำปี สายน้ำผึ้ง จะมีกลิ่นตั้งแต่ช่วงค่ำถึงรุ่งสาง โมกราชินี มีกลิ่นหอมในช่วงหน้าร้อน สายหยุด ดอกจะบานในช่วงหน้าฝน จะมีกลิ่นหอมในช่วงเช้าและช่วงเย็น และราชาวดี มีกลิ่นหอมตลอดวัน และตลอดทั้งปี ทั้งนี้การเลือกพันธุ์ไม้ชนิดใดมาปลูกก็ขึ้นอยู่กับเนื้อที่ของบริเวณบ้าน และความชอบในกลิ่นของแต่ละคนด้วย

สร้างการสัมผัสให้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ
การที่ร่างกายเราได้สัมผัสโดยตรงกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส ลูบคลำต้นไม้ ไม้ใบ การเดินด้วยเท้าเปล่าให้เท้าสัมผัสพื้นหิน และการเดินบนสนามหญ้านุ่มๆ ที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้าง  นอกจากจะช่วยทำให้ร่างกายได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเซลล์ประสาท ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น นอกจากนี้การติดสปริงเกอร์เพิ่มละอองน้ำให้กับสวน และต้นไม้ก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยทำให้สวนสดชื่น สร้างกลิ่นไอของธรรมชาติและความผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

การสร้างบรรยากาศ และการจัดสวนภายใต้คอนเซปต์ Therapeutic Garden ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงไอเดียบางส่วนสำหรับการออกแบบ และจัดสวนรอบบริเวณที่พักอาศัยเพื่อการบำบัดร่างกาย และจิตใจที่สามารถช่วยเรื่องสุขภาพ ในภาวะโรคระบาดเช่นนี้ หากบ้านไหนมีพื้นที่บ้านเหลือไม่มากต่อการจัดสวนก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศภายในบริเวณบ้านก็เป็นอีกทางเลือกในการบำบัดได้เช่นกัน
แต่ถ้าใครกำลังมองหาบ้านใหม่ แนะนำให้เลือกซื้อบ้านที่มีพื้นที่รอบบ้านพอจะจัดสวนเพิ่มเติม หรือหมู่บ้านที่ออกแบบให้บ้านสามารถใกล้ชิดธรรมชาติตลอดทั้งโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่รอบๆ หมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยแมกไม้ สวนหย่อมภายในโครงการที่จะช่วยทำให้คุณได้บำบัดและผ่อนคลายในแบบคอนเซปต์ Therapeutic Garden ก็จะช่วยให้สุขภาพกาย และสุขภาพใจ ได้รับการบำบัดได้ดียิ่งขึ้น

ดูข้อมูลโครงการหมู่บ้านที่ใกล้เคียงคอนเซปต์ Therapeutic Garden จาก อารียา พรอพเพอร์ตี้
Como Bianca เริ่มบทใหม่ของชีวิต ให้เต็มทุกจินตนาการ
Como Botanica ออกแบบชีวิตให้ชิดธรรมชาติ

อ้างอิงข้อมูลจาก
https://citycracker.co/intangible-city/therapeutic-garden/
https://www.baanlaesuan.com/250083/ideas/garden-ideas/therapeutic-garden
https://www.livinginsider.com/inside_topic/5516/1/8-perfume-tree.html

awsa

ก้าวใหม่ของเทรนด์การลงทุน การสร้างสินทรัพย์ และการใช้จ่ายด้วยเงินดิจิทัล

ก้าวใหม่ของเทรนด์การลงทุน การสร้างสินทรัพย์ และการใช้จ่ายด้วยเงินดิจิทัล

Cryptocurrency คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่งที่อยู่บนโลกออนไลน์ ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นหมายรวมถึง ข้อมูล เนื้อหา ภาพถ่าย และอื่นๆ ซึ่ง Cryptocurrency ก็เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนบนตลาดออนไลน์

ปัจจุบันการลงทุนและการใช้จ่ายเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) กำลังเป็นเทรนด์มาแรง และถูกพูดถึงกันมากขึ้น ซึ่ง Cryptocurrency ที่กำลังเป็นที่นิยมลงทุนกันในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นสกุลเงิน Bitcoin  นอกจาก Bitcoin แล้วยังมีสกุลเงินอื่นๆ อีกมากกว่า 10,000 สกุลเงิน แต่ Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 2008 ที่เข้ามาในรูปแบบเงินดิจิทัล ถือเป็นการเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมผ่านธนาคารแบบเดิมๆ ไปเป็นการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนที่น่าเชื่อถือและปลอดภัย โดยไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินใด

ที่ผ่านมามีนักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนใน Cryptocurrency เป็นจำนวนมาก และมีนักลงทุนหลายท่านที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนนี้จนได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาล จึงทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ๆ สนใจเข้ามาลงทุนบนเส้นทางนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้การลงทุนใน Cryptocurrency จะมีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าหากศึกษาข้อมูลและมีวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบก็สามารถทำกำไรได้เช่นกัน

แนวโน้มการนำเงินดิจิทัลมาใช้จ่ายจริง 

เทรนด์ที่หน้าจับตามองตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 จนมาถึงปี 2022 จะเห็นได้ว่าเริ่มมีหลายธุรกิจเปิดแผนรองรับการชำระเงินในการซื้อสินค้า และบริการด้วยเงินดิจิทัลกันมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ถือเงินดิจิทัล นำเงินที่เก็บไว้ออกมาจับจ่ายใช้สอย ที่ผ่านมามีธุรกิจทั้งใน และต่างประเทศที่เปิดรับชำระด้วยเงินดิจิทัลเหล่านี้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ เครื่องประดับ ตั๋วหนัง วิดีโอเกม โดเมนเว็บไซต์ การบริจาคไปยังองค์กรการกุศล การจ่ายค่าเล่าเรียน เป็นต้น โดยธุรกิจในไทยที่เริ่มนำร่องรับชำระเงินผ่านเหรียญเงินดิจิทัลกันไปแล้ว ได้แก่
•    รถยนต์ Tesla สามารถซื้อด้วยเหรียญบิตคอยน์ (Bitcoin/BTC) ภายใต้การนำเข้าของบริษัท วสุธา กรุ๊ป ผู้นำเข้ารถยนต์ Tesla รายเดียวของประเทศไทย
•    ร้านอินทนิล รับชำระเงินค่ากาแฟ และผลิตภัณฑ์ในร้าน โดยชำระด้วยเหรียญ 3 สกุลเงิน ได้แก่ บิตคอยน์ (Bitcoin/BTC), อีเทอเรียม (Ethereum/ETH) และเทเทอร์ (Tether/USDT) ผ่าน บิทาซซ่า (Bitazza)
•    ห้างสรรพสินค้าในเครือ The Mall Group รับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยเหรียญ 7 สกุลเงิน  ได้แก่ Bitkub Coin (KUB), Bitcoin (BTC), Ether (ETH), Tether (USDT), Ripple (XRP), Stellar Lumens (XLM) และ JFIN Coin (JFIN)
•    ตั๋วหนัง Major Cineplex รับชำระค่าตั๋วภาพยนตร์ภาพเหรียญบิตคอยน์ (Bitcoin/BTC) ภายใต้การจับมือกันของ Zipmex และ Rapidz
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธุรกิจที่เริ่มรับชำระเงินดิจิทัล ซึ่งในอนาคตอีกไม่ไกลนี้ เชื่อว่าจะมีอีกหลายธุรกิจที่รองรับการชำระเงินดิจิทัลมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และดึงดูดความสนใจให้คนมาลงทุนใน Cryptocurrency เพื่อใช้จ่ายในรูปแบบใหม่ได้มากขึ้นด้วย

NFT เทรนด์การสร้างมูลค่าสินทรัพย์ของคนรุ่นใหม่

NFT (Non-Fungible Token) เป็น Cryptocurrency ประเภทหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสร้างมูลค่าให้กับผลงาน และดึงดูดความสนใจของนักลงทุน ซึ่งในประเทศไทยก็เริ่มมีการใช้จ่ายผ่านรูปแบบ NFT (Non-Fungible Token) ให้เห็นเพิ่มมากขึ้นกันในหลายๆ วงการ เช่น วงการศิลปะ ภาพวาด ดนตรี ภาพยนตร์ และวงการเกม เป็นต้น โดยขั้นตอนของการได้มาซึ่ง NFT (Non-Fungible Token) และการเพิ่มมูลค่าของสินทรัพย์ประเภทนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของผลงานสามารถนำผลงานของตัวเองออกมาขายในรูปแบบ NFT (Non-Fungible Token)  โดยผูกกับเงินเหรียญ (Token) สกุลใดสกุลหนึ่ง เพื่อเป็นตัวกำหนดมูลค่าและยืนยันความเป็นลิขสิทธิ์แท้ของงานชิ้นนั้นๆ

ถือว่าเป็นช่องทางการทำเงินให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย และผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ ได้นำผลงานของตนเองออกมาจำหน่าย และถ้าหากผลงานชิ้นไหนที่เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อหรือนักลงทุน ก็จะทำให้มูลค่าของงานชิ้นนั้นสูงขึ้น นอกจากจะได้ราคาจากผลงานแล้ว ยังมีโอกาสในการสร้างชื่อเสียงผ่านผลงานให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกด้วย

เชื่อว่าเทรนด์การลงทุนใน Cryptocurrency หรือเงินดิจิทัลโดยภาพรวมในมุมมองของประเทศไทยแล้ว นอกจากเป็นเทรนด์การลงทุนเงินดิจิทัลและโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ การที่เราสามารถนำเงินดิจิทัลเหล่านั้นออกมาจับจ่ายใช้สอยได้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องทำธุรกรรมผ่านธนาคาร หรือตัวกลางในแบบเดิมๆ ก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองว่าทิศทางในอนาคตของ Cryptocurrency จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในสังคม และเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์เราให้เป็นไปในรูปแบบใดบ้าง ก็ต้องติดตามกันต่อไป…

อ้างอิงข้อมูลจาก
www.springnews.co.th
www.bangkokbiznews.com

awsa

7 แนวทางการใช้ชีวิตที่บ้านให้กลายเป็น Eco living

7 แนวทางการใช้ชีวิตที่บ้านให้กลายเป็น Eco living

ปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องสภาพอากาศ และภาวะโลกร้อนในปัจจุบันเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนเรา แต่จะดีกว่าไหม ถ้าปรับเปลี่ยนชีวิต และพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย แต่สามารถช่วยยับยั้งปัญหา และทำให้โลกสดใสขึ้นได้ ด้วยการปรับการใช้ชีวิตประจำวันให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านแนวคิดแบบ Eco living ที่สามารถเริ่มต้นได้จากที่บ้าน หากหลายๆ บ้านร่วมด้วยช่วยกัน ก็จะส่งผลที่ดีต่อโลก และสิ่งแวดล้อมในอนาคตอย่างแน่นอน เรามาดูกันว่าแนวทางการใช้ชีวิตในแบบฉบับ Eco Living ที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ มีอะไรกันบ้าง

1. ออกแบบที่อยู่อาศัย และเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดความร้อน
การออกแบบ และการเลือกใช้วัสดุในการสร้างบ้านปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นตัวช่วยในการลดปริมาณแสง และความร้อนที่จะเข้ามาสู่ตัวบ้านได้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุ การติดกันสาด การเลือกใช้กระจกสีช่วยลดแสง การออกแบบช่องลมให้มีอากาศถ่ายเท รวมไปถึงการทาสีบ้านโทนอ่อนก็จะช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ และลดอุณหภูมิที่เข้ามาประทะได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้เครื่องปรับอากาศและลดค่าใช้จ่ายลงได้

2. ประหยัดไฟ
การประหยัดไฟนอกจากคอยหมั่นปิดไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านหลังการใช้งานแล้ว การเลือกใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 การใช้หลอดไฟที่มีระบบ Light Automatic Sensor ที่เปิด-ปิดไฟเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเคลื่อนไหว รวมไปถึงการเปลี่ยนหลอดไฟภายในบ้านทั้งหมดให้เป็นแบบ LED ก็จะช่วยประหยัดพลังงาน เพราะกินไฟต่ำ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แถมยังลดความร้อนภายในบ้านได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีความร้อนค่อนข้างต่ำ จึงไม่ทำให้อากาศภายในห้องเกิดความร้อนจากแสดงหลอดไฟที่ใช้ และช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ เรียกได้ว่าเป็นการประหยัดไฟ 2 ต่อเลยทีเดียว

3. ประหยัดน้ำ
การใช้น้ำในชีวิตประจำวันเชื่อว่า คงน้อยครั้งมากที่เราจะเปิดน้ำทิ้ง แต่วิธีที่จะช่วยในการประหยัดน้ำจากเดิมสามารถทำได้ด้วยการหมั่นตรวจตรา เช็คท่อน้ำ และก๊อกน้ำไม่ให้รั่วไหล ปิดน้ำระหว่างถูสบู่ หรือแปรงฟัน รวมไปถึงการซักผ้าครั้งละมากๆ ก็จะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดปริมาณการสูญเสียน้ำให้น้อยลง ก็เป็นอีกตัวช่วยที่ดีเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจากการอาบน้ำแบบตักอาบมาเป็นฝักบัว การเลือกใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำระบบ Dual Flush ที่มีให้เลือกกดล้างแบบหนัก หรือเบาได้จากปุ่มกด 2 ปุ่มบนโถเก็บน้ำ ก็จะช่วยประหยัดน้ำ และค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย

4. การหมุนเวียนทรัพยากร (Zero Waste)
ปัญหาขยะส่วนหนึ่งมาจากการใช้ของครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ว่าจะเป็น ขวดน้ำพลาสติก หลอด กล่องโฟม รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าหากมีการหมุนเวียนทรัพยากรและนำกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด (Zero Waste) ก็จะทำให้อัตราการเกิดขยะน้อยลง โดยยึดหลักการปฏิบัติ 1A3R  ได้แก่ Avoid เลี่ยงการก่อขยะเพิ่ม Reuse การนำกลับมาใช้ใหม่ Reduce ใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดขยะน้อยลง Recycle การหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งสามารถทำได้หลากหลาย เช่น การนำสิ่งของที่ใช้แล้วกลับมาใช้หรือดัดแปลงให้เกิดประโยชน์ และใช้ซ้ำ การนำเสื้อผ้าเก่าๆ ไปบริจาค หรือนำมาใช้เป็นผ้าถูพื้น การซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ทิ้งเป็นขยะ การใช้กระดาษชำระในปริมาณที่พอเหมาะ การใช้กระดาษให้ครบทั้งสองหน้า หรือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันด้วยการพกกระบอกน้ำส่วนตัว เพื่อลดการใช้พลาสติก การพกถุงผ้าไปซื้อของ การงดรับช้อนส้อมพลาสติก เป็นต้น การกระทำ และการปรับพฤติกรรมเหล่านี้ นอกจากช่วยลดปริมาณขยะแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกทาง

5. การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์
การเลือกใช้พลังงานทางเลือกโดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากตัวโซลาร์เซลล์นี้จะช่วยผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงเวลากลางวันมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถดึงมาใช้ได้แม้กระทั่งในช่วงที่ไม่มีแสงแดดแล้วก็ตาม รวมไปถึงใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าสำรองในยามที่ไฟฟ้าดับได้

6. เพิ่มพื้นที่สีเขียว
การปลูกต้นไม้ หรือการทำสวนเล็กๆ บริเวณรอบบ้านนอกจากช่วยให้บ้านดูสดชื่นน่าอยู่ เพิ่มพื้นที่กิจกรรมให้กับคนในครอบครัวแล้ว ต้นไม้และพืชสีเขียวจะช่วยปลดปล่อยออกซิเจนบริเวณรอบตัวบ้าน ทำให้อุณหภูมิรอบบ้านลดลง บ้านร่มเย็น และประหยัดไฟ ซึ่งทุกๆ บ้านก็สามารถทำได้ง่ายๆ

7. เลือกใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV)
พลังงานไฟฟ้ากำลังเข้ามามีบทบาทและทดแทนพลังงานน้ำมันในรูปแบบเดิม ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ปลอดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Net Zero Emission) หรือยานยนต์ที่ปราศจากการปล่อยมลพิษ ซึ่งจะช่วยให้เราก้าวไปสู่ยุคของเทคโนโลยีที่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน และเป็นทางเลือกที่ทำให้ยานพาหนะ อย่างรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ สามารถชาร์จพลังงานได้ผ่านทาง EV Charger จากทั้งที่บ้าน แบบ Normal Charge (AC) หรือสถานีชาร์จไฟ แบบ Quick Charge (DC) ซึ่งจะเป็นทางเลือกในการประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อโลกได้อย่างแท้จริง

แนวทางการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยในแบบ Eco living ที่กล่าวข้างต้น นอกจากช่วยคุณประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ยังเป็นการช่วยสร้างคุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่คุณและครอบครัว ส่วนใครที่กำลังมองบ้านใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบ Eco Living ที่มาพร้อมกับสังคมคุณภาพ อารียา พรอพเพอร์ตี้ขอนำเสนอ 2 โครงการบ้านโซนบางนา  Como Bianca และ Como Botanica ที่ช่วยให้ชีวิตสไตล์ Eco Living สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ดูข้อมูลโครงการหมู่บ้านในสไตล์ Eco Living จาก อารียา พรอพเพอร์ตี้
Como Bianca เริ่มบทใหม่ของชีวิต ให้เต็มทุกจินตนาการ
Como Botanica ออกแบบชีวิตให้ชิดธรรมชาติ

 

awsa

6 วิธีช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ช่วยโลก ช่วยเรา

6 วิธีช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ช่วยโลก ช่วยเรา

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งผลกับสุขภาพ และความเป็นอยู่โดยตรงของคุณ และคนในครอบครัว เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวตั้งแต่เดือน ธ.ค.-ก.พ. มีแนวโน้มที่จะเกิดสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน ด้วยสาเหตุจากมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมามีกำลังอ่อนลง ทำให้เกิดลมอ่อนๆ ที่จะพัดฝุ่นละอองจากการเผาในที่โล่ง มลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม และฝุ่นควันจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 สะสมเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะอยู่แต่บ้าน ไม่ออกไปไหน ฝุ่น PM 2.5 เหล่านี้ก็สามารถที่จะเข้าคุกคามสุขภาพได้ถึงในบ้าน อารียา พรอพเพอร์ตี้ จึงขอนำเสนอ 6 แนวทางในการช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่สามารถทำได้ง่ายๆ จากที่บ้าน

1. งดเผาขยะ งดจุดธูป เปลี่ยนมาใช้ธูปไฟฟ้า
การเผาขยะจะทำให้เกิดการเผาไหม้ซึ่งจะเป็นการเพิ่มควัน และฝุ่นพิษให้อากาศ นอกจากนี้ควรปรับเปลี่ยนการจุดธูป ซึ่งปกติจะทำให้เกิดฝุ่นจากธูป และควัน มาใช้ธูปและเทียนแบบไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อลดปริมาณควัน และลดอัตราการเกิดอัคคีภัยในช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้งได้ด้วย ซึ่งแนวทางการแก้ไขในเรื่องของการเผาขยะ โดยการหมุนเวียนทรัพยากร (Zero Waste) เพื่อช่วยลดปริมาณขยะและนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดขยะ นำสิ่งของกลับมาใช้ใหม่ ใช้วัสดุทดแทน ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะช่วยลดปัญหาขยะลงได้

2. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ
การป้องกันฝุ่นด้วยการปิดหน้าต่างๆ และประตูบ้านตลอดเวลา อาจลดปริมาณฝุ่นทั่วไปได้ แต่ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีอนุภาคเพียง 2.5 ไมครอน ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมากจนเครื่องปรับอากาศไม่สามารถดักจับได้ ตัวช่วยในการดักจับฝุ่นด้วยเครื่องฟอกอากาศจึงเป็นทางเลือกที่คนหันมาใช้กันมากขึ้น เครื่องฟอกอากาศที่ขายในท้องตลาดมีหลายแบรนด์ให้เลือก แต่การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสม ควรคำนึงถึงขนาดของพื้นที่ห้องกับขนาดของตัวเครื่องให้เหมาะสมกัน จึงจะมีประสิทธิภาพที่ดี

3. ปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ 
ปัจจุบันการปลูกต้นไม้ฟอกอากาศเป็นเทรนด์ที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากให้ความสวยงามสบายตาแล้ว ยังทำให้อากาศภายในบ้านสดชื่นด้วย ต้นไม้ที่มีคุณสมบัติในการฟอกอากาศและเป็นที่นิยมสำหรับการนำมาปลูก และวางตามจุดต่างๆ ของบ้าน มีหลากหลายพรรณไม้ ยกตัวอย่างเช่น ต้นยางอินเดีย พลูด่าง เศรษฐีเรือนใน เศรษฐีพันล้าน ลิ้นมังกร เขียวหมื่นปี เดหลี ไทรใบสัก กวักมรกต และยังมีอีกมากมาย ทั้งนี้ต้นไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติและการดูแลที่แตกต่างกันไป ควรศึกษารายละเอียดก่อนนำมาปลูกด้วย

4. ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล
สาเหตุของฝุ่นละอองขนาดเล็ก ร้อยละ 50-60% มาจากการขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน สังเกตได้ว่าบริเวณที่มีการจราจรติดขัดมักมีอากาศที่ขมุกขมัว เนื่องมาจากหลายปัจจัย เช่น การเสียดสีของยางกับพื้นถนนทำให้เกิดฝุ่นละออง อีกทั้งรถยนต์ยังปล่อยควันจากท่อไอเสีย หากผู้คนส่วนใหญ่ลดอัตราการใช้รถบนท้องถนน หันไปใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ก็จะช่วยทำให้ปริมาณฝุ่นละอองที่เกิดจากปัญหาเหล่านี้ลดลงตามไปด้วยเช่นกัน

5. หมั่นเช็คสภาพรถ เพื่อลดควันดำ
การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ของทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ จะทำให้เกิดควันดำ และมลพิษทางอากาศ จึงควรหมั่นตรวจเช็คเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพปกติ การใช้งานไม่ควรมีควันดำ หรือปล่อยควันดำขณะขับขี่ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดมลพิษทางอากาศได้อีกช่องทาง

6. หมั่นทำความสะอาดบ้าน 
การทำความสะอาดบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูเฟอร์นิเจอร์ด้วยผ้าชุบน้ำเพื่อป้องกันการกระจายของฝุ่น รวมทั้งการล้างอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องปรับอากาศ พัดลม แผ่นกรองอากาศ มุ้งลวด และเช็ดทุกซอกมุมของบ้าน เพื่อช่วยลดแหล่งสะสมของฝุ่นได้อย่างง่ายๆ

การคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น จะสามารถค่อยๆ แก้ไขได้ด้วยการที่ทุกๆ คนมีความเข้าใจ และปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถเริ่มต้นการแก้ไขปัญหาได้จากที่บ้าน ถ้าทุกคนร่วมใจกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมกันแล้ว เชื่อว่านอกจากจะลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคต่างๆ ที่จะเกิดจากฝุ่นพิษเหล่านี้ด้วย นอกจากนี้ก่อนออกจากบ้านควรสวมหน้ากากสำหรับป้องกัน PM 2.5 และไม่ควรกังวลกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 มากเกินไป จนเกิดความเครียด หรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา อารียา พรอพเพอร์ตี้ขอเป็นหนึ่งกำลังใจส่งความห่วงใยสุขภาพของคุณ และทุกคนในครอบครัว ^_^

 

awsa